หลังเกิดเหตุไฟไหม้ของบริษัท หมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ในพื้นที่ถนนกิ่งแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) มีคำสั่งปิดโรงงานที่เกิดเหตุไของบริษัท หมิงตี้ เคมิคอล จำกัดไม่มีกำหนด แต่หากเจ้าของบริษัทต้องการที่จะประกอบกิจการต่อไป ต้องย้ายไปดำเนินการอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ที่มีการยื่นแผนผังโรงงานและมาตรการรักษาความปลอดภัยตามที่กำหนดชัดเจนต่อไป
ขณะที่ การกำจัดสารสไตรีนโมโนเมอร์ที่ตกค้างอยู่เหลือในพื้นที่โรงงานหมิงตี้ 1,000 ตันนั้น ได้ประสานให้บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และบริษัท ดาว เคมิคอล ประเทศไทย จำกัด(มหาชน) เข้ามาดำเนินการย้ายออกไปกำจัดภายใน 3 วัน หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ทาง กรอ. ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบสภาพคุณภาพน้ำและอากาศบริเวณใกล้เคียงในระยะ 10 กิโลเมตร จำนวน 14 จุด พบว่ามีสารสไตรีนโมโนเมอร์ที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุบัติเหตุอยู่ในช่วง 0.42 – 0.83 ppm ซึ่งไม่เกินมาตรฐานตามที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้ที่ 20 ppm ส่วนคุณภาพน้ำไม่พบสารปนเปื้อนในคลองปากน้ำและคลองประเวศบุรีรมย์ จึงได้สั่งการให้ กรอ. ติดตามสภาพคุณภาพน้ำต่อไปอีก 60 วัน เข้มข้นว่าหลักวิชาการที่ระบุไว้ว่าสารเคมีจะแหล่งน้ำจะสามารถระเหยได้ตามธรรมชาติภายใน 30-45 วัน อย่างไรก็ตาม ขอเตือนให้ประชาชนงดใช้น้ำในคลองเพื่อการอุปโภคบริโภคชั่วคราว
นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อปี 2560 บริษัทหมิงตี้ ได้แจ้งขอขยายกำลังการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยเครื่องจักรและเทคโนโลยีชั้นสูงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 40,000 ตันต่อปี ในกรณีนี้ไม่ต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) เพราะเป็นการขยายกำลังการผลิตภายในพื้นที่เดิม ซึ่งบริษัทได้มีการดำเนินการตามมาตรฐานกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ก่อตั้งโรงงานสำหรับการตั้งจุดรับเรื่องจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้มี 3 แห่ง ได้แก่ หน้าโรงงานหมิงตี้ สถานีตำรวจภูธรบางแก้ว และ สำนักงาน อสจ. สมุทรปราการ เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนติดต่อแจ้งเรื่องร้องทุกข์และรับการเยียวยาต่อไป
อย่างไรก็ตาม บริษัท หมิงตี้ ยืนยันว่าพร้อมจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับประชาชนทุกคน โดยประชาชนที่ได้รับความเสียหายนำหลักฐานมาแสดงเพื่อขอรับเงินชดเชยตามกระบวนการ คาดว่า ภายหลังกองพิสูจน์หลักฐานรวบรวมข้อมูลแล้วเสร็จ จะทราบตัวเลขความเสียหายที่ชัดเจน ซึ่งเบื้องต้นมีความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโกดัง 1 หลัง อุปกรณ์สำนักงานทั้งหมดประมาณ 3 ล้านบาท และสารเคมีที่อยู่ในโรงงาน คือ แอลกอฮอล์ประมาณ 70,000 ลิตร ทรัพย์สินอื่นๆ อีก 28 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมีเงินทุนหมุนเวียนอีกประมาณ 20 ล้านบาท