“อัษฎางค์” ซัด “ธนาธร” ซ่อนเร้น ทอล์คการเมือง ค้าน “แม่ทัพภาคที่ 2” วิจารณ์เขมร สื่อเข้าข้าง “รัฐบาลอิ๊งค์”

อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ซัด "ธนาธร" ซ่อนเร้น ทอล์คการเมือง ค้าน "แม่ทัพภาคที่ 2" วิจารณ์เขมร สื่อเข้าข้าง "รัฐบาลอิ๊งค์"

“อัษฎางค์” ซัด “ธนาธร” ซ่อนเร้น ทอล์คการเมือง ค้าน “แม่ทัพภาคที่ 2” วิจารณ์เขมร สื่อเข้าข้าง “รัฐบาลอิ๊งค์” – Top News รายงาน

 

อัษฎางค์

 

เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 นายอัษฏางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ โดยระบุว่า.. ฟังกันออกมั้ย ว่าธนาธรพูดอะไร? 🔥

#อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ

เพราะบางครั้ง คำพูดที่ฟังดูดี… ก็อาจซ่อนเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ไว้ข้างใน และเมื่อฟังชัด ๆ คำพูดของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่เพียงแต่ลดทอนบทบาทของกองทัพ แต่ยังเป็นการ “เข้าข้างรัฐบาลแพทองธาร” โดยการพยายามปิดปาก “แม่ทัพภาค 2” ที่กล้าพูดความจริงเรื่องเขมร

 

  • เสรีภาพของทหารในการปกป้องชาติ ไม่ควรถูกปิดปาก จากนักการเมืองที่มุ่งแต่ผลประโยชน์ทางการเมือง

ในสถานการณ์ที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชากำลังทวีความตึงเครียด โดยเฉพาะในกรณีชายแดนช่องบก การวางทุ่นระเบิด PMN-2 โดยฝ่ายกัมพูชา การปลุกกระแสชาตินิยมในฝั่งเขมรโดย “สมเด็จฮุน เซน” และคลิปเสียงที่เชื่อมโยงกับนักการเมืองไทยระดับสูง กลายเป็นข้อกังวลเชิงยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยย่อมไม่อาจเพิกเฉยได้

แต่แทนที่เราจะได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันในการปกป้องอธิปไตยของชาติไทย เรากลับได้ยิน “คำตำหนิ” จากนักการเมืองฝ่ายหนึ่ง ที่มีเป้าหมายเพียงเพื่อสกัดไม่ให้ทหารแสดงจุดยืน

 

  • ทหารกับหน้าที่เชิงโครงสร้าง: ไม่ใช่เครื่องมือของใคร แต่เป็นกลไกของรัฐชาติ

ทหารในระบบประชาธิปไตย ไม่ควรกลายเป็น “คู่ขัดแย้งทางการเมือง” แต่ก็ไม่ควรถูกลดบทบาทให้เหลือเพียง “ทหารเงียบ” ในเวลาที่บ้านเมืองกำลังเผชิญภัยคุกคามจากต่างชาติ

แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตามสายการบังคับบัญชาในพื้นที่ชายแดน ย่อมมี หน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการรักษาเอกราช ความมั่นคง และอธิปไตยของชาติการที่แม่ทัพออกมาแสดงจุดยืนต่อการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ทั้งในประเด็นทุ่นระเบิด การบุกรุกแนวชายแดน และการปลุกกระแสในพื้นที่เปราะบาง จึงไม่ใช่การแทรกแซงทางการเมือง  แต่คือการ ปฏิบัติหน้าที่เชิงโครงสร้างของกองทัพ ซึ่งไม่มีใครในรัฐบาลควรเข้าไปปิดปาก นักการเมืองบางคนต้องการให้ทหาร “เงียบ” เพื่อให้ “การเมืองเดินเกม” ได้สะดวก

 

ข่าวที่น่าสนใจ

 

  • การปฏิเสธบทบาทของทหารในประเด็นชายแดน

→ คำพูดของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ระบุชัดว่า ทหาร “ไม่ควรพูด” ในประเด็นความขัดแย้งไทย–กัมพูชา และควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลพลเรือนผ่านกลไกการทูต เช่น JBC  นี่คือการสื่อสารโดยนัยว่า ทหารกำลัง “ล้ำเส้น” และควรถูกลดบทบาท ซึ่งเท่ากับ “ลดน้ำหนักทางความมั่นคง” ของแม่ทัพภาค 2 ที่เพิ่งออกมาแสดงจุดยืนเข้มข้น และแน่นอนว่า คำพูดแบบนี้เอื้อต่อรัฐบาลแพทองธาร ที่กำลังถูกกดดันจากปมเขมร

 

  • การอ้างอิงถึงกระแสชาตินิยม

→ ธนาธรเตือนว่าท่าทีแข็งกร้าวของทหารจะทำให้เกิด “ชาตินิยมล้นเกิน” และความเกลียดชัง

ประโยคนี้คือการลดความชอบธรรมของกองทัพไทย ที่แสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตย ทั้งที่ในข้อเท็จจริง หากวิเคราะห์ตามข้อมูลปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชา (โดยเฉพาะฮุน เซน) คือผู้กระทำการรุกรานทางการทูต ดังนั้น การตำหนิทหารไทยว่าปลุกกระแสชาตินิยมจึงย้อนแย้ง และ “เข้าข้างเขมรโดยปริยาย”

 

  • โครงสร้างเชิงอำนาจ: รัฐบาลพลเรือนควบคุมกองทัพไม่ได้

→ ธนาธรสื่อว่าสิ่งที่น่ากังวลคือ “ทหารออกมาพูดก่อนรัฐบาล”
ประโยคนี้เปิดเผยเป้าหมายทางอุดมการณ์: ยืนยันว่าอำนาจต้องรวมศูนย์อยู่ที่ฝ่ายการเมือง โดยไม่สนว่าสถานการณ์ชายแดนในบางช่วงเวลาอาจต้องการการแสดงออกของกองทัพในฐานะ “กลไกป้องกันด่านหน้า” ดังนั้น การ “บอกให้ทหารเงียบ” อาจไม่ใช่เพื่อสันติภาพ แต่คือการ “ลดอำนาจคู่แข่งของรัฐบาลแพทองธาร”

 

  • สรุปเชิงวิเคราะห์

ผมฟังออกอย่างชัดเจนว่าธนาธรพูด:
• เข้าข้างรัฐบาลแพทองธาร อย่างชัดเจน
• ตำหนิแม่ทัพภาค 2 โดยนัย แม้ไม่เอ่ยชื่อ
• ลดน้ำหนักของกองทัพ และตีความว่าเป็นต้นตอของปัญหา
• ใช้แนวทาง “soft power ทางการทูต” เพื่อเบี่ยงท่าทีของรัฐไทยจากการเผชิญหน้า
• แต่กลับ ไม่กล่าวถึงพฤติกรรมเชิงรุกรานของกัมพูชาแม้แต่น้อย ซึ่งคือจุดเปราะของคำพูดนี้

ประโยคที่ชัดที่สุดในเชิงจุดยืน:  ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดชัดเจนว่า

“หากจะให้พูดกันตรงๆ คือทหารไม่สามารถออกมาให้ความเห็นเรื่องนี้ได้ และไม่ควรจะให้ความเห็น”

ซึ่งฟังออกอย่างชัดเจน ถึงแม้ธนาธร จะเลี่ยงบาหลี จากความ ในใจที่… “บ่งบอกว่า ธนาธรเข้าข้างแพทองธาร และไม่เห็นด้วยที่แม่ทัพภาค 2 ออกมาพูดเรื่องปัญหาชายแดนและเขมร”

 

 

  • เสรีภาพของทหาร = ด่านหน้าในการปกป้องชาติ ไม่ใช่เครื่องมือทางการเมือง

ในโลกเสรี เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต้องครอบคลุมถึงทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะ “ข้าราชการทหาร” ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ชายแดน และมีหน้าที่รับรู้ภัยคุกคามก่อนใคร  การออกมาพูดของแม่ทัพภาค 2 ไม่ใช่การขัดคำสั่งรัฐบาล  แต่คือ “การรายงานสู่สาธารณะ” ให้เห็นว่า
สถานการณ์ชายแดนไม่ได้สงบอย่างที่บางคนพยายามบอก  และการเพิกเฉยต่อความรุนแรงของฝ่ายตรงข้าม อาจหมายถึงการปล่อยให้ “เกมการเมืองระหว่างประเทศ” เดินไปโดยไม่มีผู้ยับยั้ง

 

  • บทเรียนจากอดีต: ทุกครั้งที่ทหารเงียบ ประเทศชาติเสียหาย ในอดีต กองทัพเคยถูกบีบให้ “วางเฉย” เพื่อเอื้อเกมทางการทูต เช่น

• กรณีการคืนพื้นที่เขาพระวิหาร โดยไม่มีการคัดค้านที่เข้มแข็งจากรัฐบาล
• การเจรจาแบบลับ ๆ กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่เปิดเผยต่อประชาชน
• หรือแม้แต่การปล่อยให้พื้นที่ชายแดนถูกเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ ๆ

ความเงียบของทหารในอดีต = ราคาที่ประเทศต้องจ่ายในวันนี้  และถ้าเรายังเชื่อคำว่า “ทหารควรเงียบ” โดยไม่คิดให้ลึก วันหนึ่ง…เราอาจไม่มีแผ่นดินพอจะพูดคำว่า “อธิปไตย” อีกเลย

 

  • สรุป: ทหารพูดได้ ถ้าเขาพูดเพื่อชาติ

ไม่ควรมีนักการเมืองคนไหน…ที่ปิดปากทหาร เพียงเพราะเสียงของทหาร อาจรบกวน “ข้อตกลงลับ” ที่ไม่ได้เกิดจากผลประโยชน์ของประชาชน และในยุคที่ประชาชนจับตาทุกการเคลื่อนไหวของทั้งกองทัพและรัฐบาล เราต้องยืนยันว่า… “เสรีภาพในการปกป้องชาติ… ต้องมาก่อนอำนาจทางการเมืองของใคร”

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) โรงเรียนสอนขับรถจีนใช้ 'ครู AI' ฝึกนักเรียน
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) จีนเปิดสอนปริญญาตรี “วิทยาศาสตร์สัตว์เลี้ยง” แห่งแรก
"เอกนัฏ" มอบนโยบาย กนอ. ฟันไม่เลี้ยง นิคม "ศูนย์เหรียญ" ตั้งเป้าเพิ่มอุตสาหกรรมดีแทนที่ อนุมัติให้ง่าย แต่ทำให้ถูก
กต.ออกแถลงการณ์ ประณามกัมพูชา ขั้นรุนแรงสุด ลอบใช้ทุ่นระเบิดสังหาร ชี้ละเมิดอธิปไตย-อนุสัญญาออตตาวา
"โฆษกกลาโหม" กัมพูชา ยิงมุกใหม่ โทษผิดทหารไทย ลาดตระเวนนอกเส้นทาง เคยเตือนแล้วมีทุ่นระเบิด
"นฤมล" นำทีมศธ.ตรวจเยี่มรร.สุราษฎร์ฯรับฟังปัญหา พร้อมเดินหน้าปรับเกณฑ์วิทยฐานะ เร่งลดภาะครูเพิ่มอัตราให้เหมาะสม

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​