AFP รายงานว่าวันนี้ (จันทร์ที่ 14 กค.) หวาง หลิงจวิน โฆษกสำนักงานศุลกากรจีนออกมาเปิดเผยตัวเลขการส่งออกของจีนสำหรับเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่าพุ่งขึ้นถึง 5.8% สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ของบลูมเบิร์กคาดการณ์เอาไว้ที่ 5% ซึ่งหวางกล่าวว่าเป็นผลมาจากการเจรจาทำให้สหรัฐและจีนยอมพักรบและลดภาษีตอบโต้ระหว่างกันเป็นการชั่วคราว
หวางกล่าวว่าการพักรบสงครามภาษีเป็นสิ่งที่ได้มาด้วยความยากลำบาก ซึ่งจีนหวังว่าสหรัฐจะร่วมมือและร่วมแก้ปัญหาความแตกต่างด้วยการเจรจากันต่อไป แทนมาตรการตอบโต้และบีบบังคับเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
ขณะที่ตัวเลขนำเข้าเดือนมิถุนายนของจีนก็เพิ่มขึ้น 1.1% สูงกว่าที่ประเมินไว้ 0.3% และเป็นตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งแรกในปีนี้ของจีน
รายงานเผยว่าตัวเลขส่งออกของจีนปีที่แล้ว (2567) ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เศรษฐกิจจีนชลอตัวลงในปีนี้ ท่ามกลางแรงกดดันและสงครามการค้ากับสหรัฐ โดยข้อมุลของศุลกากรจีนที่มีการเผยแพร่ในวันนี้ระบุว่าตัวเลขส่งออกจีนไปสหรัฐเดือนมิถุนายนพุ่งขึ้นถึง 32.4% โดยลดลงจากเดือนพฤษภาคม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญก็กล่าวในทิศทางเดียวกันว่าเป็นผลมาจากเพราะการพักรบกับสหรัฐ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นจะดันตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ของจีนในไตรมาสที่สองให้ขยายตัวมากกว่า 5 % ซึ่งตัวเลขอย่างเป็นทางการจะมีเผยแพร่ในวันพรุ่งนี้ (อังคารที่ 15 กค.)
อย่างไรก็ตามนักเศรษฐศาสตร์จีนเตือนว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป หรือในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ สงครามการค้าจีน-สหรัฐจะฉุดการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนให้ลดลงอย่างฮวบฮวบ
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนชี้ว่าจีนจำเป็นต้องปรับโมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ จากเดิมที่มุ่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน, การผลิตและส่งออก ก็เปลี่ยนมาเน้นการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น