CNA เผยรายงานวันนี้ (จันทร์ที่ 7 กค.) ว่านโยบายภาษีทรัมป์เริ่มส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการท่องเที่ยวสหรัฐแล้ว เพราะช่วงนี้เป็นฤดูร้อนหรือฤดูท่องเที่ยวที่คนอเมริกันมักนิยมเดินทาง แต่ปรากฎว่าปีนี้ชาวอเมริกันกลับหลีกเลี่ยงที่จะไม่ไปต่างประเทศ โกลเบิ้ล เรสคิว (Global Rescue) สำนักงานบริหารความเสี่ยงเผยผลสำรวจล่าสุดพบว่านักท่องเที่ยวอเมริกัน 72% เชื่อว่าพวกเขาจะถูกมองในแง่ลบและอาจถูกกระแสต่อต้านหากเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการภาษีและนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
กลุ่มนักท่องเที่ยวจากรัฐฟลอริด้าซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุนทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์ที่หน้าพระราชวังบัคกิ้งแฮม ในกรุงลอนดอนยอมรับว่าพวกเขารู้สึกวิตกกังวล และพยายามที่จะไม่ใส่สัญญลักษณ์อะไรที่เกี่ยวกับทรัมป์ เช่นหมวกแก็ป เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตี ขณะที่่นักท่องเที่ยวอเมริกันอีกคู่บอกว่าพยายามหลีกเลี่ยงไม่คุยเรื่องการเมืองกับใคร
ทั้งนี้คณะกรรมการการท่องเที่ยวยุโรปเผยผลสำรวจพบว่า่จำนวนคนอเมริกันที่มีแผนจะมาท่องเที่ยวยุโรปปีนี้ลดลง 7% จากปีที่แล้ว โดยเหลือแค่ 33% ผลสำรวจจาก Global Rescue (โกลเบิ้ล เรสคิว) ยังโชว์ว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงไม่ไปจีน, เม็กซิโก, แคนาดาและฝรั่งเศส เพราะกลัวกระแสต่อต้าน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ทำให้เกิดความไม่แน่นอน คนอเมริกันจำนวนมากกลัวว่าจะทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าราคาแพงหรืออาจตกงาน ทำให้ตัดสินใจเก็บเงินไว้ในกระเป๋าเพื่อความอุ่นใจหรือเที่ยวในประเทศแทน
ขณะที่การท่องเที่ยวขาเข้าก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยข้อมูลอย่างเป็นทางการชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าสหรัฐเดือนพฤษภาคมปีนี้ (2568) ร่วงลง 5% จากเดือนเดียวกันในปี 2567 โดยไกด์นำเที่ยวที่กรุงวอชิงตันเผยว่าธุรกิจของเธอร่วงลง 85% นับตั้งแต่ทรัมป์รับตำแหน่งในเดือนมกราคม โดยลูกค้าของเธอซึ่งส่วนใหญ่มาจากแคนาดา, ฝรั่งเศสและเยอรมนีพากันหดหาย โดยเฉพาะลูกค้าแคนาดานี่หายเกือบหมด หลังจากทรัมป์ประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกจะให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ ทำให้ปกติที่เคยรับกรุ๊ปทัวร์ราวๆ 25 กรุ๊ปในเดือนมิถุนายนกลับเหลือแค่ 5 กรุ๊ปในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งยอดจองโรงแรม, ร้านอาหาร, สถานบันเทิงและร้านค้าต่างๆ โดยสภาการเดินทางและท่องเที่ยวโลก (World Travel and Tourism Council) เผยว่าสหรัฐจะสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็น 12,500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐหรือกว่า 4 แสนล้านบาทในปีนี้ (2568) ขณะที่อาชีพที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวก็ตกอยู่ในความเสี่ยง