“ประศาสน์” เผยทีมประชุม “JBC ไทย-กัมพูชา” ยังไม่มีเห็นชอบแผนที่เขมร พร้อมแจงขั้นตอนทำแผนที่ปักปันเขตชุดใหม่

“ประศาสน์” เผยทีมประชุม "JBC ไทย-กัมพูชา" ยังไม่มีเห็นชอบแผนที่เขมร พร้อมแจงขั้นตอนทำแผนที่ปักปันเขตชุดใหม่

ขณะที่ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ฝ่ายไทย แถลงผลการประชุมJBC ครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ว่า การประชุมดังกล่าวถือว่าราบรื่นที่สุดตั้งแต่ตนเคยประชุมมา เพราะปกติจะทะเลาะกันหนักกว่านี้ ซึ่งผลการประชุมนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ของด้านเทคนิค และการประนีประนอม

พร้อมอธิบายขั้นตอนการทำงานของคณะ JBC ว่าทั้งหมดมี 5 ขั้นตอน 2 ระยะ ในระยะที่ 1 ขั้นตอนแรก คือการสอบหาหลักเขตที่ปักไว้สมัยรัชกาลที่ 6 ประมาณปี พ.ศ. 2462-2463 ทั้งหมด 74 หลัก ได้รับการเห็นชอบในปี 2561 ไปแล้ว 45 หลัก อีก 29 หลัก ทั้งสองรัฐบาลยังเห็นต่างกัน ขณะที่การทำงานอีกระยะหนึ่ง คือการทำแผนที่จากถ่ายภาพทางอากาศ เนื่องจากกัมพูชาต้องการให้หาหลักเขตเก่าที่ 6 แต่ไทยมองว่าไม่เพียงพอ เพราะต้องการให้ดำเนินการคล้ายกับประเทศมาเลเซีย ให้เห็นเขตแดนที่ชัดเจนขึ้นเพื่อปักหลักเขตแดนเพิ่มเติม จากนั้นเมื่อได้แผนที่จากภาพถ่ายอากาศแล้ว ทั้งสองฝ่ายต้องมาพูดคุยกันว่าจะเดินสำรวจเพื่อที่จะปักปันเขตแดนในแนวใด หากเห็นพื้นที่ต่างกัน ก็ต้องเดินสำรวจทั้ง 2 แนวทาง ทำเส้นทางเป็นคู่มือให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงาน จากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเห็นพ้องตรงกันในพื้นที่ ก็นำข้อมูลกลับมาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาเห็นชอบในแผนที่ฉบับใหม่ โดยไม่ต้องใช้แผนที่เดิมจากฝรั่งเศส

 

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายประศาสน์ กล่าวอีกว่า ผลการประชุมเมื่อวานนี้ ประธานในที่ประชุมของทั้งสองฝ่าย เห็นชอบในหลักเขตแดน 45 จุดในการประชุมของคณะอนุกรรมาธิการด้านเทคนิค หรือ JTSCก่อนหน้านี้ รวมทั้งเห็นในการปฏิบัติงานในการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ในการสร้าง Photo Map โดยใช้ระบบไรด้าสแกน อย่างไรก็ตามขณะนี้ติดปัญหาว่าใครจะทำ จะจ่ายเงิน ซึ่งตามหลักการปฏิบัติทั่วไป คือการช่วยกันจ่ายคนละครึ่ง อีกทั้งการร่วมปฎิบัติงานกับกัมพูชามีความละเอียดอ่อนว่าใครจะเป็นฝ่ายบิน หรือดำเนินการบนเครื่องบินอย่างไร นอกจากนี้กัมพูชายังเสนอให้สำรวจหลักแดนอื่นนอกจาก 45 หลัก แต่คณะกรรมาธิการของไทย ยังเห็นว่าตอนนี้ยังไม่มีคู่มือการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงการทำวานต้องมี Photo Map ก่อน เพราะมีความกังวลถึงความปลอดภัย และวัตถุระเบิดในพื้นที่

 

นายประศาสน์ อธิบายเพิ่มถึงการประชุมที่มีเนื้อหาละเอียดอ่อน โดยจะเป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ซึ่งข่าววาระการประชุมที่มีหลุดออกมา คือวาระก่อนการประชุมกลุ่มเล็กของทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมย้ำว่าการทำงานของคณะ JBC คือการทำให้เห็นเขตแดนอย่างชัดเจน โดยยกตัวอย่างของประเทศมาเลเซียที่ใช้เวลานานกว่า 12 ปีกับเขตแดน 556 กิโลเมตร โดยที่ไม่มีปัญหาของการเมืองเข้ามาแทรกแซง

เมื่อถามถามถึงความสับสนในการนำสัดส่วนของแผนที่ 1:200,000 และ 1:50,000 เข้าการประชุมนั้น นายประศาสน์ กล่าวว่า ตามข่าวที่ว่าตนไปเห็นชอบแผนที่ 1:200,000 ของกัมพูชา ยืนยันว่าไม่มีการพูดคุยกันเลย ซึ่งแผนที่ใหม่นี้เป็นการทำร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ไม่เกี่ยวข้องกับทั้งสองรูปแบบ อย่างไรก็ตามแผนที่ใหม่ที่จะทำร่วมกัน อาจเป็น 1:50,000 เพราะเป็นแผนที่ทางยุทธการมีความละเอียดมากอยู่แล้ว

 

เมื่อถามว่ากัมพูชาได้แจ้งเรื่อง 4 พื้นที่ข้อพิพาทในที่ประชุม และไทยจะมีโอกาสเสนอเข้าหารือในระดับทวิภาคีต่อไปหรือไม่ นายประศาสน์ ระบุว่า เรื่อง 4 พื้นที่พิพาท ทางกัมพูชาได้รับนโยบายจากนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าไม่ให้นำเข้าที่ประชุมเลย ซึ่งตนเสียดายที่ไม่นำมาเจรจา เพราะในอดีตเคยมีบุคลากรเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ เพื่อที่จะหาแนวทางไม่ให้เกิดการบังคับและกำหนดมาตรการในการอยู่ร่วมร่วมกัน อีกทั้งก่อนการเข้าร่วมประชุมชุดใหญ่ ตนก็ถามย้ำไปแล้วว่าจะนำเรื่องดังกล่าวประชุมด้วยหรือไม่ ซึ่งฝั่งกัมพูชาก็ยืนยันว่าจะไม่นำเข้าประชุม เนื่องจากได้รับคำสั่งอย่างชัดเจน

 

 

ด้านนายเบญจมินทร์ สุกาญจนัทจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวว่าตามข้อเท็จจริงทราบกันดีแล้วว่าฝ่ายกัมพูชานำประเด็น 4 พื้นที่พิพาทไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ แต่รัฐบาลไทยยังไม่ได้รับแจ้งจากฝ่ายกัมพูชาหรือ ICJ ซึ่งการจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาศาลโลก ทั้งสองฝ่ายต้องยอมรับเขตอำนาจศาล แต่ไทยชัดเจนว่าไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกตั้งแต่ปี 2503 เช่นเดียวกับอีก 118 ประเทศ เราจึงต้องพิจารณากลไกการแก้ปัญหาข้อพิพาทต่างๆ อย่างถี่ถ้วน รวมถึงนัยยะของอธิปไตยต่อประเทศ อย่างไรก็ตามยอมรับว่าการที่กัมพูชาร้องต่อศาลโลกเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ซึ่งปกติการจะไปศาลโลกได้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมาตีกรอบ ตกลงร่วมกัน ไม่เหมือนกับการที่คนสองคนขึ้นศาลปกติ แต่ประเด็นนี้กัมพูชากลับเสนอเรื่องต่อสาธารณชนมากกว่าจะมาพูดกับรัฐบาลไทย จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายอีกซ้ำสอง เป็นการปิดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างเปิดอก

 

 

 

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย อธิบายอีกว่า สำหรับ MOU 2543 เป็นสนธิสัญญาระหว่างไทยกับกัมพูชาเกี่ยวกับเรื่องการปักปันเขตแดน ในข้อ 8 กำหนดไว้ว่า หากมีปัญหา หรือการตีความ หรือการบังคับใช้ MOU ให้ทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือหรือเจรจากันก่อน ขณะที่กฎบัตรสหประชาชาติ เน้นให้คู่กรณีได้พูดคุยกันก่อน และยังมีกลไกอื่น ๆ อีกมากก่อนที่จะนำเรื่องไปศาลโลก แต่หากดูข้อเท็จจริงกัมพูชายังไม่เคยพูดคุยเรื่อง 4 พื้นที่ข้อพิพาทกับไทยเลย ทั้งที่เรามีกลไกทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพทั้ง JBC RBC และ GBC จึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชากลับมาใช้กลไกที่มีอยู่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สันติสุข" เทียบเจ็บ "ฮุน เซน" เหมือนคนคลั่งยา จับสมาชิกครอบครัวเป็นตัวประกัน ปลุกระดมทะเลาะไทย พาคนในชาติเดือดร้อนทั่วหน้า
วธ.เตรียมจัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย กลางใจกรุงเทพฯ มางานเดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วไทย
เพื่อไทยกร้าวสุด "สส.อีสาน" เล่นใหญ่ เสนอกลางวงประชุมพรรค ลั่นถึงเวลาทวง "มหาดไทย" คืน
กลาโหมกัมพูชากล่าวหาไทยละเมิด MOU 2543
สถานทูตในอิหร่านเตือนคนไทยออกจากเตหะราน
ครม. เห็นชอบแต่งตั้ง "เกษร" เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
อิสราเอลขู่คาเมเนอีระวังมีชะตากรรมเหมือนซัดดัม
ศน. ประกาศผลประกวดบรรยายธรรมระดับประเทศ 24 เยาวชนคนเก่ง รับโล่พระราชทาน "กรมสมเด็จพระเทพฯ"
“ไพบูลย์” ย้ำพปชร.ไม่ร่วมรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” หาก “ภูมิใจไทย” ถอนตัวจากพรรคร่วม
สร.รฟท. ลงพื้นที่อีสาน ให้กำลังใจทหาร "ตาเมือนธม" คารวะทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยแผ่นดิน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น