“บิ๊กเต่า” ตั้งทีมไล่ล่า “เรือน้ำมันเถื่อน” หาย “ผู้การฯตำรวจน้ำ” เผยทั้ง 3 ลำ ไม่ได้อยู่น่านน้ำไทยแล้ว ล่าสุดรู้ตัวคนก่อเหตุ

"บิ๊กเต่า" ตั้งทีมไล่ล่า "เรือน้ำมันเถื่อน" หาย "ผู้การฯตำรวจน้ำ" เผยทั้ง 3 ลำ ไม่ได้อยู่น่านน้ำไทยแล้ว ล่าสุดรู้ตัวคนก่อเหตุ

“บิ๊กเต่า” ตั้งทีมไล่ล่า “เรือน้ำมันเถื่อน” หาย “ผู้การฯตำรวจน้ำ” เผยทั้ง 3 ลำ ไม่ได้อยู่น่านน้ำไทยแล้ว ล่าสุดรู้ตัวคนก่อเหตุ

จากกรณีที่กองบังคับการตำรวจน้ำ รายงานว่า เรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ ซึ่งบรรจุน้ำมันรวมกว่า 3.3 แสนลิตร หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นั้น ล่าสุด พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ว่า วันนี้ (13 มิ.ย.) เวลา 13.00 น. ตนเองจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบกรณีดังกล่าวที่สถานีตำรวจน้ำสัตหีบเป็นหน่วยที่เก็บรักษาของกลาง ณ ท่าเทียบเรือสัตหีบ เพื่อหาสาเหตุที่เรือของกลางทั้ง 3 ลำหายไปจากท่าเทียบเรือ โดยตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดเรือของกลางทั้ง 3 ลำ ต้องไปจอดห่างท่าเทียบเรือถึง 100 เมตร และเบื้องต้นมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ

เรือน้ำมันเถื่อน

ข่าวที่น่าสนใจ

เมื่อถามถึงประเด็นสาเหตุว่า ทำไมเรือของกลางจำนวน 3 ลำจึงหาย และหายไปได้อย่างไรนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ตอบว่า เบื้องต้นมีการแบ่งการทำงาน 3 ส่วน คือ ส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เฝ้าของกลางว่า มีความบกพร่องต่อหน้าที่ หรือเจตนาทุจริตหรือไม่ ซึ่งทางคณะกรรมการตรวจสอบกรณีดังกล่าว ขอเวลาในการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงก่อน และหากพบว่า มีความผิดจริงจะดำเนินคดีตามกฎหมาย อาจเข้าข่ายความผิดมาตรา 147 และ 157 ส่วนของการติดตามเรือของกลางจำนวน 3 ลำที่หายไป นั้น จะมีการตั้งกองอำนวยการในการติดตาม รวมถึงจะมีการดำเนินคดีกับลูกเรือที่มีการนำเรือออกไป ส่วนจะมีใครอยู่เบื้องหลังหรือไม่นั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน

 

 

ขณะที่ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยว่า ทางการข่าวเชื่อว่าเรือของกลางที่สูญหายทั้ง 3 ลำมีความเกี่ยวข้องกับ ‘โจ้ น้ำมันเถื่อน’ หรือ ‘โจ้ ปัตตานี’ ขณะนี้เรือทั้งหมดที่หายไปไม่อยู่ในน่านน้ำไทย แต่ไปอยู่ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว และยืนยันว่า การสูญหายครั้งนี้เป็นการหายที่มีผู้นำไปจากที่เกิดเหตุแน่นอน ขณะนี้ตำรวจมีชื่อผู้ที่กระทำความผิดแล้ว ถ้าจับกุมตัวได้จะดำเนินการลงโทษอย่างร้ายแรง

 

วันที่เกิดเหตุคือ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานมาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน แล้วว่า ในทะเลจะมีคลื่นแรง และอาจทำให้เรือที่ผูกติดอยู่กับท่าเรืออีกลำ กระแทกกับท่าเรือและอาจเกิดประกายไฟได้เมื่อประกอบกับภายในเรือมีการบรรจุน้ำมันจึงอาจเสี่ยงเกิดอันตรายถึงขั้นระเบิด ทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลขณะนั้นที่เป็นระดับสารวัตร จึงตัดสินใจให้เรือของกลางทั้งหมดไปผูกทิ้งทุ่นอยู่ข้างนอกท่าเรือ เพื่อจะได้ป้องกันการกระแทกกับขอบของท่าเรือ โดยในช่วงเวลา 20.00 น. เจ้าหน้าที่ยังคงเห็นเรือเหล่านั้นเปิดไฟทำการอยู่ แต่ช่วงเวลา 22.00 น เรือปิดไฟ จนกระทั่งช่วงเช้าเมื่อตรวจสอบอีกครั้ง จึงทราบว่า เรือทั้ง 3 ลำหายไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรือของกลางในรอบนี้มีทั้งหมด 5 ลำ เป็นการติดตามจับกุมตรวจยึดมาตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ตามข้อหา พ.ร.บ.ศุลกากร และ พรบ.สรรพสามิต หลังตรวจยึดมาได้ อยู่ในระหว่างการทำเรื่องจำหน่ายน้ำมันของกลาง โดยรูปแบบการประมูลขาย ซึ่งส่วนนี้ทำโดยเจ้าหน้าที่จากกรมศุลกากร ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจปริมาณ และคุณภาพน้ำมันที่ยึดมาได้ไปแล้ว 2 ครั้ง

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ตัวแทนไทยนำเสนอความก้าวหน้าการเตรียมงานพืชสวนโลก 2029 ต่อที่ประชุมที่ประเทศเบลเยี่ยม
อ่างทองเตรียมรับมือ! ผู้ว่าฯ สั่งเร่งวางกระสอบทราย-เครื่องสูบน้ำ รับสถานการณ์เขื่อนเจ้าพระยาปล่อยน้ำ คาดน้ำเพิ่ม 30-60 ซม. พร้อมลงพื้นที่ให้กำลังใจประชาชน
จับรายวัน! จนท.สนธิกำลังจับแรงงานเถื่อน 52 ราย ชาวเมียนมา ทะลักข้ามชายแดน สารภาพจ่ายค่าหัว 1.8 หมื่น
เทศบาลตำบลบางทราย จัดสมัยสามัญสมัยที่ 4 ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 เพื่อให้ผู้บริหารยื่นเสนอ ขอความเห็นชอบต่อสภา
น้ำที่ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ อ.เทพสถิต และไหลลงมาท่วมพื้นที่ อ.บำเหน็จณรงค์ และอ.จัตุรัส และไหลลงสู่บึงละหานจนล้นสปิลเวย์ลงมาสมทบกับลำน้ำชี จนทำให้เกิดน้ำชีเอ่อล้นตลิ่งน้ำทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร
ชลบุรี เตรียมเนรมิตมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ เที่ยวเมืองชล ถนนวัฒนธรรมสร้างสรรค์ จัดเต็มริมทะเลพัทยากลาง 24-28 ก.ย.นี้

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​