นักวิจัยพบ การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิดของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และแอสตราเซนเนก้า เชื่อมโยงกับพันธุกรรม เตรียมตัดต่อยีนส์เจ้าปัญหาออก สำหรับการพัฒนาวัคซีนในอนาคต
นักวิจัยเปิดเผยในจดหมายที่ส่งถึงวารสารการแพทย์นิวอิงค์แลนด์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมว่า การเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดขึ้นน้อยมาก แต่อันตรายถึงชีวิต ซึ่งเชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และบริษัท แอสตราเซนเนก้า มีสาเหตุมาจากปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเองของผู้ฉีดวัคซีนบางราย
โดยวัคซีน ทั้งสองชนิดนี้ เป็นวัคซีนที่ใช้ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) และต่อมาถูกดึงออกจากตลาด หลังมีข้อพิสูจน์ว่า มีส่วนประกอบที่กระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดในผู้ที่มีความไวต่อพันธุกรรม ซึ่งหลังจากที่นักวิจัยสามารถหาสาเหตุได้แล้ว พวกเขาจะพยายามกำจัดมันออกโดยใช้การตัดต่อพันธุกรรม สำหรับการพัฒนาวัคซีนในอนาคต
ศาสตราจารย์ ทอม กอร์ดอน หัวหน้าภาควิชาภูมิคุ้มกันวิทยาจากมหาวิทยาลัยฟลินเดอร์ส ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่า มีกี่คนที่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ซึ่งการมุ่งศึกษาถึงระดับโมเลกุล ถึงจะนำมาสู่การค้นพบนี้ และว่า ปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเอง ที่เชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีนนั้นเป็นโรคใหม่ ทำให้ยังมีข้อมูลไม่มากนัก แต่เมื่อนักโลหิตวิทยา และหมอผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้ป่วยหนัก เริ่มคุ้นเคยกับอาการเหล่านี้มากขึ้น ต่อไปก็จะมีคำอธิบายหรือรู้จักโรคมากขึ้น
ตามรายงานของ โรงเรียนแพทย์เยล (Yale School of Medicine) ซึ่งศึกษาจากข้อมูลของผู้รับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 1 โดส จำนวนมากกว่า 18 ล้านราย มีรายงานผู้ป่วยโรคลิ่มเลือดอุดตัน 60 ราย และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย ส่วนการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับภาวะลิ่มเลือดที่เชื่อมโยงกับวัคซีน แอสตราเซนเนก้า นำไปสู่การถอนหรือจำกัดการใช้ ในเดนมาร์ก นอร์เวย์ และประเทศอื่นๆ ในปี 2564 โดยภาวะแทรกซ้อนนี้ เกิดขึ้นในกับผู้รับวัคซีนแอสตราที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีในออสเตรเลีย ในอัตราส่วน 2 ถึง 3 คนต่อ 1 แสนคน ซึ่งต่อมามีการยกเลิกใช้วัคซีนดังกล่าว ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 และในเดือนมีนาคม ปีนี้คณะกรรมาธิการยุโรป ได้เพิกถอนการอนุญาตทำการตลาดของวัคซีนนี้แล้ว