ข่าวที่น่าสนใจ
โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯ ได้พิจารณาเรื่องสำคัญ คือ การส่งเสริมอาชีพให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ เพื่อเป็นการเติมรายได้ และช่วยให้สมาชิกมีเงินเพียงพอในการใช้หนี้ พร้อมเป็นการส่งเสริมต่อยอดอาชีพ เช่น โครงการโคนำร่องที่เลี้ยงวัวธรรมดา ก็สามารถพัฒนาสายพันธุ์เป็นโคต่างประเทศได้ โดยเป็นการอัพเกรดจากโคธรรมดา เป็นโคพรีเมี่ยม ด้วยการผสมเทียม ซึ่งจะนำน้ำเชื้อสายพันธุ์ต่างประเทศ ไปผสมกับโคธรรมดา จะได้ลูกออกมาเป็นสายพันธุ์ต่างประเทศ 50% จากนั้น ก็ให้ผสมพันธุ์ต่อไปเรื่อยๆ เป็น 75% และเมื่อเกิน 80% ขึ้นไป โคของเราก็จะกลายเป็นสายพันธุ์ต่างประเทศแล้ว ดังนั้น ที่ประชุมจึงเห็นชอบ โครงการ”สัตวบาลอาสา” เพื่อจะเป็นผู้ช่วยปศุสัตว์ ในการลงพื้นที่ไปช่วยสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ในการผสมเทียม เพราะเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อาจไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมีสัตวบาลอาสา
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาโครงการโคแสนล้านนำร่อง ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยที่ประชุมได้เห็นชอบโครงการโคแสนล้านนำร่อง ภายใต้กรอบวงเงินสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จำนวน 5,000 ล้านบาท และรัฐชดเชยดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ 4.50 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่ง ธ.ก.ส.เป็นหน่วยงานตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดเชยอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากรัฐ จำนวน 450 ล้านบาท โดยดำเนินโครงการรวมระยะเวลา 5 ปี ซึ่งกำหนดให้ปลอดดอกเบี้ย 2 ปีแรก ส่วนปีที่ 3 มีดอกเบี้ย ปีที่ 4 ต้องจ่ายคืนเงินต้น 50% พร้อมดอกเบี้ย และปีที่ 5 จ่ายคืนทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งเมื่อที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯเห็นชอบแล้ว ก็จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป
“ข้อสรุปที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯเห็นชอบนั้น เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการโคแสนล้าน นำร่อง เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา แต่มอบหมายให้ตั้งคณะทำงาน เพื่อพิจารณาในรายละเอียด ทั้งอัตราดอกเบี้ย งบประมาณ และกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ ซึ่งเมื่อคณะทำงานได้ข้อสรุป จึงนำเข้ามาให้ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯเห็นชอบตามขั้นตอน ก่อนจะเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในรายละเอียดของโครงการต่อไป” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
