อดีตบิ๊กศรภ. จวก “รุ้ง-เพนกวิน” อดข้าวประท้วงเพื่อตัวเอง คงความเคลื่อนไหวมาตรา 112 เชื่อไม่เกิน 1 เดือนเปลี่ยนลูกเล่น
เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 64 ที่บ้านพักรามอินทรา 31 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ กรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และอดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ให้สัมภาณ์กับสำนักข่าว “Top News” ถึงกรณีที่แกนนำกลุ่มราษฎร อาทิ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน อดข้าวประท้วงว่า การอดอาหารประท้วงของทั้งสองคนไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่ทำประโยชน์ให้กับประชาชน แต่ทำเพื่อตัวเอง เพราะแค่สองคนยอมรับเงื่อนไขเหมือนแกนนำคนอื่นๆ ทางศาลก็ปล่อยตัว เมื่อทำความผิดมาตราไหน แล้วรับปากกับศาลว่าเมื่อเป็นจำเลยคดีนี้อยู่จะไม่ออกไปทำความผิดซ้ำอีกเพียงเท่านี้ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัว ซึ่งแกนนำส่วนใหญ่เขาก็ยอมแต่จะรับเงื่อนไขนี้ และที่ผ่านมาน.ส.ปนัสยาและนายพริษฐ์ ก็เคยให้คำสัญญากับศาล แต่ครั้งนี้การอดอาหารของทั้งสองคน ที่ผ่านมาการอดอาหารไม่เคยทำให้ผู้อดอาหารต้องตายตลอดช่วงระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา เพราะยังดื่มน้ำ ดื่มนม และกินโจ๊กด้วยการดูดทางหลอดได้ ไม่มีทางที่จะเป็นอะไรได้ และเป็นเช่นนี้มาตลอดทุกการประท้วง
“การประท้วงของรุ้งและเพนกวินมีเจตนาอย่างเดียวคือต้องการดำรงความเคลื่อนไหวเรื่องมาตรา 112 ให้มีอยู่ต่อไปโดยใช้ตัวเองเข้ามาขับเคลื่อน ซึ่งผมเชื่อว่ามีคนคอยสั่งให้ทั้งสองคนทำ ผมก็ไม่รู้ว่าคือใคร แต่เมื่อดูๆก็รู้ การที่รุ้งและเพนกวินทำต่อไปต้องหยุดลงในไม่เกิน 1 เดือนเพราะเมื่อไหร่ที่การเคลื่อนไหวไม่ได้รับความสนใจจากประชาชน และได้รับความสนใจจากพวกตัวเองที่รับเบี้ยเลี้ยงเหมือนกันออกมาเคลื่อนไหว ประชาชนเห็นข่าวก็เฉยๆ มองว่าเป็นเรื่องปกติ คุณค่าของรุ้งและเพนกวินก็จะหมดไปเมื่อนั้นเขาก็จะเลิกอดอาหาร ผมคิดว่าคงเร็วๆนี้ และประเด็นการอดอาหารก็ไม่สามารถปลุกมวลชนได้อีก แต่มุ่งหวังรักษากระแสความเคลื่อนไหวกับมวลชนไว้ แต่การอดอาหารไม่ได้เชื่อมโยงอะไรกับประชาชน เป็นการอดอาหารเพื่อประท้วงศาล เหมือนกับเด็กอดข้าวประท้วงพ่อแม่” พล.ท.นันทเดช กล่าว
เมื่อถามว่า จากนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎรจะเดินไปในทิศทางไหน พล.ท.นันทเดช กล่าวว่า ก็คงเหมือนเดิม ซึ่งการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ต้องมีเบี้ยเลี้ยง ดังนั้นก็เหมือนเดิม แต่ไม่ขยายขอบเขตออกไป
เมื่อถามว่า จุดจบจะเป็นอย่างไร พล.ท.นันทเดช กล่าวว่า รออีก 3-4 เดือน คือในที่สุดแล้วมันจะมีต่อไปเรื่อยๆแต่ความนิยมของประชาชนจะน้อยลงแล้วเขาจะหยุดเคลื่อนไหวไปเอง อีกทั้งการเคลื่อนไหวอะไรที่มีข้อเรียกร้องเกินเหตุไปนั้นประชาชนรับไม่ได้ และไม่มีเหตุผลที่จะต้องเคลื่อนไหว ซึ่งต้องจับตาดูต่อจากนี้ประมาณ 2-3 เดือน