No data was found

“ดร.ธนวรรธน์” ยันศก.ไทยไม่ถึงวิกฤต ชี้กู้ 5 แสนล้าน แจกไม่คุ้มค่าเท่าใช้ลงทุน

กดติดตาม TOP NEWS

"ดร.ธนวรรธน์" เผยนักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ มองเศรษฐกิจไทย “ไม่เข้าขั้นวิกฤต” ชี้แค่ฟื้นตัวต่ำกว่าคาด แต่การขยายตัวยังเป็นบวก พร้อมมองเงินดิจิทัล ส่วนหนึ่งควรให้กลุ่มเปราะบาง ที่ต้องการใช้เงินจริง และที่เหลือนำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะได้ประโยชน์มากกว่า

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ว่า จากคำถาม เศรษฐกิจไทยวิกฤตจริงหรือไม่ คำว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ นักเศรษฐศาสตร์ นักวิชาการ และนักวางนโยบายส่วนใหญ่ มองและเห็นพ้องร่วมกัน คือการที่เศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ มีการขยายตัวติดลบหรือมีการขยายตัวที่ต่ำมาก จนทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนมองว่าคือ ”วิกฤตเศรษฐกิจ “

โดยวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น มาจาก 3 สาเหตุสำคัญ คือ หนึ่ง การล้มลงของสถาบันการเงินหลายแห่ง หรือที่เรียกว่า financial crisis ซึ่งเมื่อสถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์ล้ม หรือปิดกิจการลง จะทำให้เกิดปัญหาสินเชื่อตึงตัวจึงทำให้มีการปิดกิจการของธุรกิจต่างๆ ต่อเนื่อง จนเป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจขยายตัวติดลบ และทำให้เกิดการปลดคนงาน

สถานการณ์เหล่านี้เป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่คุ้นเคยในช่วงที่ผ่านมา คือ วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ที่มีการปิด 56 ไฟแนนซ์ และทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวติดลบ ถึง 7.5% ในปี 2541 และวิกฤตการณ์ซับไพร์มของสหรัฐ ที่ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐปิดกิจการลง จากการปล่อยสินเชื่อคุณภาพต่ำ ในปี 2551

วิกฤตเศรษฐกิจที่สอง คือ วิกฤตที่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงของประเทศนั้นๆ จนทำให้เกิดเงินไหลออก หรือทำให้เกิดการเก็งกำไรค่าเงิน และทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลง ทำให้ประเทศนั้นจะต้องกู้ยืมเงินจากไอเอ็มเอฟ และสถาบันการเงินอาจตึงตัวในด้านการเงิน จึงเป็นที่มาที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวติดลบหรือขยายตัวต่ำ

โดยวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา คือ วิกฤตต้มยำกุ้งที่ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 7% ของจีดีพี ในปี 2541 /วิกฤตการณ์ ค่าเงินเปโซ หรือการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงของประเทศเม็กซิโก จนทำให้เกิดสถานการณ์ที่มีการเก็งกำไรค่าเงินเปโซซึ่งเกิดขึ้นในปี 2538

วิกฤตการณ์ที่สาม เกิดมาจากการที่มีเหตุปัจจัยอื่นๆ อาทิ ภัยธรรมชาติ หรือโรคระบาดรุนแรงคือ โควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกมีการปิดประเทศ ปิดกิจการ และทำให้มีการปลดคนงาน ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวติดลบ อาทิ ในปี 2563 เศรษฐกิจไทยติดลบ 6.1%

ทั้งหมดจึงเป็นภาพรวมของวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้ประเทศนั้นๆ มีเศรษฐกิจที่ขยายตัวติดลบ จนทำให้เกิดการปลดคนงาน ซึ่งของไทยเจอวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปี 2540 ที่เศรษฐกิจขยายตัวติดลบในปี 2541 คือ -7.5% และการว่างงานเกิดขึ้นประมาณ 4.3-4.4% และช่วงโควิด-19 ที่เศรษฐกิจขยายตัวติดลบ 6.1% และการว่างงานปรับสูงขึ้นจาก 1% เป็น 2%

ข่าวที่น่าสนใจ

รศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า ในส่วนของประเทศไทย หากจะเข้าคำนิยามของคำว่า “วิกฤตเศรษฐกิจ” ที่นักเศรษฐศาสตร์หรือผู้วางนโยบายทางด้านเศรษฐกิจมองร่วมกัน พบว่า “ประเทศไทยไม่ได้เข้าขั้นวิกฤตเศรษฐกิจ“ เพราะในปีนี้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 น่าจะได้ 1.5% ว่างงานที่ 1% โดยเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงมาจากปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่เกิดการสู้รบในรัสเซีย-ยูเครน /อิสราเอล-ฮามาส ทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง การส่งออกของไทยขยายตัวขยายตัวติดลบ จึงทำให้เศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลง

แต่มุมมองรัฐบาลได้นิยาม ว่าเศรษฐกิจไทยโตขยายตัวต่ำ และมีการฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลจึงเกรงว่า หากเป็นเช่นนี้ประเทศไทยจะเข้าขั้นวิกฤตได้ ซึ่งเป็นมุมมองของรัฐบาล

โดยนิยามจากภาควิชาการและภาคเศรษฐศาสตร์รวมถึงภาพที่เป็นประสบการณ์ของนานาชาติ ประเทศไทยไม่ได้เรียกว่าเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจแต่ประเทศไทยฟื้นตัวต่ำกว่าที่คาดและมีสัญญาณชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังเป็นบวก

โดยกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้เปิดเผยตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ขยายตัวได้ 1.5% รศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า การที่เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/66 ขยายตัวได้ 1.5% ทำให้ 9 เดือนแรก เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 1.9% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ทั้งปี 66 ได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.5% สะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยจะกลับมาฟื้นตัวและขยายตัวได้ถึง 4% โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยทั้งปี ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากเดิมที่คาดว่า จะเติบโตได้ 3.0-3.5% และหากเทียบกับช่วงเกิดโควิด -19 ในปี 2563 ที่เศรษฐกิจไทยติดลบ 6.1% และเศรษฐกิจไทยได้มีการฟื้นตัวในปี 2564 ที่ 1.5% และปี 2565 เศรษฐกิจขยายตัวได้ 2.6% และในปี 2566 เศรษฐกิจคาดว่าจะขยายตัว 2.5% ถือเป็นการฟื้นตัวช้า และต่ำกว่า ระดับ 3% จึงทำให้รัฐบาลมองว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า

ส่วนกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่าเศรษฐกิจไทยแย่ จากตัวเลขจีดีพีออกมาที่ 1.5% ในไตรมาส 3 ปีนี้ และย้ำว่าโครงการเงินดิจิทัล เป็นเรื่องที่จำเป็น รศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า กรณีของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet 5 แสนล้านบาท ครอบคลุม 50 ล้านคน กับโครงการที่จะต้องกู้เงิน คำถามที่สำคัญคือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะมีการให้ประชาชนที่เข้าเงื่อนไขคนละ 10,000 บาท เป็นการสร้างอำนาจซื้อให้ประชาชน ในการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ของตนเอง และเป็นการใช้จ่ายเงินระยะสั้นเพียง 6 เดือน ใช้พร้อมกันทั่วประเทศ จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ทันที โดยคาดว่าเม็ดเงินดังกล่าวจะเข้าสู่ระบบในเดือน พ.ค.67 และจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 4-5% ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์ การกระตุ้นเศรษฐกิจ

รศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า หลายคนมองว่า โครงการนี้ เป็นการใช้เงินที่คุ้มค่าหรือไม่ เพราะการใช้เงิน 500,000 ล้านบาทเป็นการใช้เงินที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทย หากไม่รวมโครงการรับจำนำข้าว และถือเป็นการใช้เม็ดเงินครึ่งหนึ่งของโครงการแลนด์บริดจ์ ที่ใช้วงเงิน 1 ล้านล้านบาท จึงทำให้มีการตั้งคำถามว่า ควรใช้เม็ดเงินในโครงการที่เป็นการสร้างการลงทุนระยะยาว และสามารถเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น และทำให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวหรือไม่ ดังนั้น จึงมีมุมมองต่างๆ ออกมาตรงกันว่า เม็ดเงินดังกล่าวน่าจะถูกนำไปใช้ในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

โดยมองว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ต สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ด้านความคุ้มค่าในระยะยาว เพื่อทำให้การเติบโตอย่างยั่งยืน น่าจะคุ้มค่าน้อยกว่าเอาไปลงทุน ดังนั้น จึงอยู่ที่คำตอบของรัฐบาลที่จะเน้นว่าโครงการนี้ รัฐบาลตั้งใจจะกระตุ้นเศรษฐกิจ และจะมีมาตรการอื่นๆ เสริม ดังนั้น จึงยากในการมองว่าโครงการนี้เหมาะสมหรือไม่ เพราะรัฐบาลเลือกที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่วนมุมมองทางวิชาการ ต้องยอมรับว่า การนำเอาเงินดิจิทัลวอลเล็ต ให้กลุ่มเปราะบาง ที่มีความต้องการใช้เงินจริงๆ เพียงแค่บางส่วน และนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะได้ประโยชน์มากกว่า

 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีหากกฤษฎีกา มีความเห็นไม่ผ่านพร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท โครงการเงินดิจิทัล จะเดินไปในทิศทางใด รศ.ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า หากกฤษฎีกาไม่ผ่านจะต้องมอง 2 มุม คือ รัฐบาล จะเลือกวิธีอื่นใดมาดำเนินการ เช่น การใช้เงินงบประมาณแผ่นดินของปี 2567 ซึ่งอาจจำเป็นต้องเลือกว่าจะใช้เต็มจำนวน 5 แสนล้านบาท โดยไม่ทำโครงการอื่น หรือ จะมีการกันเงินไว้บางส่วนเพื่อทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต บางส่วน และมอบให้ประชาชนอีกบางส่วนในปีงบประมาณถัดไป

ดังนั้น หากรัฐบาลจะเลือกเดินหน้าโครงการนี้ ก็มีด้วยกัน 2 วิธี คือ

– การใช้เงินเต็มจำนวน กับแบ่งเงินเพื่อใช้กับโครงการเป็นช่วงๆ หรือ เฟส โดยช่วงแรก อาจจะมีการโอนเงินให้ประชาชนเพียง 16 ล้านคน ซึ่งจะใช้เม็ดเงินเพียง 1.6 แสนล้านบาท และช่วงที่ 2 ในช่วงปลายปีงบประมาณ หรือ ต้นปีงบประมาณ กับประชาชนอีกกลุ่ม ในช่วงปลายปีงบประมาณ 67 หรือต้นปีงบประมาณ 68

– รัฐบาลยกเลิกโครงการนี้ และใช้โครงการอื่นแทน ซึ่งรัฐบาลจะต้องไปหาโครงการว่าจะใช้โครงการใด ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะมีโครงการทางเลือกเกิดขึ้น อีกทั้งหากรัฐบาลกู้เงินไม่ได้ รัฐบาลจะต้องใช้เงินจากงบประมาณเพื่อมาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เนื่องจากการจะใช้เงินจากมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยการใช้เงินกู้จากรัฐวิสาหกิจ หรือการใช้เงินกู้ตาม พ.ร.บ.นั้นไม่สามารถทำได้ จึงต้องใช้เงินงบประมาณดำเนินการ
ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเรื่องทำโครงการนี้หรือไม่ หากเลือกจะดำเนินการอย่างไร

อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทย หากไม่มีเม็ดเงินจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท เข้าไปกระตุ้น และไม่มีโครงการอื่นออกมาเสริม มองว่า ศักยภาพเศรษฐกิจไทยปี 67 จะเติบโตได้ประมาณ 3-3.5% แต่หากมีเม็ดเงินจากส่วนนี้เข้าไป จะต้องติดตามว่า รัฐบาลจะใช้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งเดียว 5 แสนล้านบาทหรือไม่ ซึ่งหากใช้เม็ดเงิน 5 เเสนล้านบาท จะมีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 4-5 % สูงขึ้น

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ผู้ว่าชลฯ บูรณาการ ทุกหน่วยงานเร่งแก้ปัญหาภัยแล้งบนเกาะล้าน พร้อมแจกจ่ายน้ำให้ประปาให้ชาวบ้านบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น
อบต.ตะพง ชวนเที่ยวงานเทศกาลดนตรี สีสัน ผลไม้สไตล์ตะพง ของดีเมืองระยอง เลือกซื้อ ชิม ช้อปผลไม้ขึ้นชื่อเมืองระยอง ทั้งทุเรียน เงาะ ลองกอง มังคุด
น้องชายยิงพี่ชายทนายความรุ่นใหญ่ ดับคาบ้าน เหตุหึงเมีย
เมียนมาห้ามชายวัยเกณฑ์ทหารออกไปทำงานตปท.
สลด "หนุ่มใหญ่" ดกเหล้าขาวดับคาโต๊ะ คาดเป็นฮีทสโตรก หลังร้อนจัด 44 องศาฯ
"มณฑลทหารบกที่ 32" แปรอักษรถวายกำลังใจ "กรมสมเด็จพระเทพฯ"
"สมาคมคนตาบอดฯ" ยืนยันจัดสรรโควต้าสลากฯครบถึงมือสมาชิก ไม่การันตีแทนองค์กรอื่นปล่อยยี่ปั๊ว-ออนไลน์
"ทนายอนันต์ชัย" ยันเอาผิดก๊วนเชื่อมจิต ย้ำลัทธิบิดเบือนหลักพุทธศาสนา รับไม่ได้ใช้เด็กหาผลประโยชน์
กมธ.ศึกษานิรโทษฯ เคาะนิยามบุคคล มีมูลเหตุการเมืองจูงใจทำผิดคดีไม่รุนแรง ตั้งแต่ปี 48 ไม่รวมละเมิด 112
“สงคราม กิจเลิศไพโรจน์” เจ้าของห้างอิมพีเรียล เปิดตัวเป็นแฟนคลับ Top News บอกชอบมานานแล้ว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น