จากกรณีที่นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธุ์ อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ชี้แจงถึงสาเหตุที่เครื่องบินของกองทัพอากาศไทยต้องบินอ้อมไปรับคนไทยในอิสราเอล แต่เครื่องบินกองทัพอากาศของชาติอื่นสามารถบินตรงผ่านซาอุดิอาระเบียได้
โดยอมรับว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ตนรู้สึกอึดอัดในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เพราะสะท้อนให้เห็นว่าเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของประเทศในตะวันออกกลางค่อนข้างน้อย เพราะในตะวันออกลาง 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นประเทศมุสลิม และเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพและน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาติมุสลิม เขาจึงระงับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล ซึ่งเกิดขึ้นมานานแล้ว และการระงับความสัมพันธ์ทางการทูตมีสิ่งหนึ่งที่เกิดผลขึ้นทันทีคือ การไม่ให้ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถบินผ่านน่านฟ้าของประเทศในตะวันออกกลางไปอิสราเอลได้ อย่างไรก็ตามมี 2 ประเทศที่อนุญาตให้บินผ่านน่านฟ้าเพื่อไปอิสราเอลคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์และบาห์เรน ฉะนั้นทำให้เราต้องเลือกเส้นทางบินอื่นและมีความเป็นไปได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องบินไปทางเหนือ ทั้งที่ใช้เวลานานกว่า
นายวรวุฒิ ชี้แจงต่อว่า หากเราจะขอซาอุดิอาระเบียเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม เราขอได้ แต่เราไม่รู้ว่าการพิจารณาจะใช้เวลานานเท่าไหร่ จะ 5 วัน 7 วัน หรือ 1 เดือน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้เรารอไม่ได้ มีความเร่งด่วน เราจึงตัดสินใจอย่างง่ายดายว่าเสียเวลา 3-4 ชั่วโมง เพื่อจะไปช่วยคนไทย กับเสียเวลา 3วัน 5 วัน 7 วัน หรือ 1 เดือน โดยที่เราไม่รู้ว่าการพิจารณาจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ด้วยเหตุผลด้านความเร่งด่วนเราจึงตัดสินใจเลือกเสียเวลา 3 ชั่วโมงดีกว่า