เกมเหนือเมฆ “พท.” สูตร 15+1 ชิงปธ.สภาฯ

เจาะเกมเพื่อไทยเสนอสูตร 15+1 ให้ก้าวไกลหวังแลกตำแหน่งประธานสภาฯ เผยมาเหนือชั้น เหตุรู้ว่ากระบวนการตั้งรัฐมนตรียังเป็นเรื่องที่ลอยอยู่ในอากาศ และอาจไม่เกิดขึ้นจริง หาก “พิธา” ไม่ผ่านด่าน ส.ว.โหวตรวม 376 เสียงไม่ได้ส่งผลตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

ศึกชิงประธานฯระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงได้ง่าย ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานว่าพรรคก้าวไกลจะเสนอชื่อ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล สัดส่วนภาคเหนือ ดำรงตำแหนงดังกล่าว ขณะที่พรรคเพื่อไทยยืนยันชัดเจนว่าพรรคต้องได้ตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งจากความขัดแย้งดังกล่าวทำให้พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลต้องล้มการเจราเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา รวมถึงต้องเลื่อนการประชุมของ 8 พรรคการเมืองจากวันที่ 29 มิถุนายนไปเป็นวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคมที่จะถึงนี้

 

 

 

จากความไม่ลงตัวที่เกิดขึ้นระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยบ่งบอกสถานการณ์ชัดเจนว่า ตำแหน่งประธานสภาฯจะไม่มีวันลงตัวอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีความพยายามลากยาวไปถึงวันที่ 2 กรกฎาคม ซึ่งถือเป็นวันเส้นตายสุดท้ายก่อนจะมีรัฐพิธีเปิดประชุมสภาฯอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 จากนั้นจะตามมาด้วยการเลือกตำแหน่งประธานสภาฯในวันถัดไปตามลำดับ

 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดพรรคเพื่อไทยได้มีการเสนอสูตร 15+1 ประกอบไปด้วยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ 15 ตำแหน่งให้กับพรรคก้าวไกล ส่วนพรรคเพื่อไทยจะยอมลดสัดส่วนด้วยการใช้สูตร 13+1 คือประธานสภาฯ และรัฐมนตรี 13 ตำแหน่ง

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ทั้งนี้เมื่อถอดรหัสสูตรการเมือง 15+1 และ 13+1 ที่พรรคเพื่อไทยเสนอให้พรรคก้าวไกลต้องดูกันยาว ๆ ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจะใช้สูตรดังกล่าวเพื่อให้ทุกอย่างลงตัวก่อนวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งกระดานการเมืองนี้ถือเป็นความเหนือชั้นของพรรคเพื่อไทยที่หวังจะกินรวบตำแหน่งประธานสภาฯไปก่อนหรือไม่

 

อะไรคือความแยบยลของสูตร 15+1 และ 13+1 ที่เพื่อไทยยอมประเคนเก้าอี้รัฐมนตรีให้พรรคก้าวไกลอีก 1 ตำแหน่ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ด้วยจำนวน ส.ส.ที่ใกล้เคียงกันระหว่างสองพรรคควรจะเป็นสูตร 14+1 แต่เรื่องดังกล่าวหากมองในหลักความเป็นจริงตามกลไกลกฎหมาย จะพบว่า ตำแหน่งรัฐมนตรี 15 เก้าอี้ที่พรรคเพื่อไทยยกให้พรรคก้าวไกลยังเป็นเรื่องที่ลอยอยู่ในอากาศ และยังไม่เกิดขึ้นจริงหากกระบวนการเลือกประธานสภาฯ และการโหวตนายกรัฐมนตรียังไม่เกิดขึ้น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 มาตร 159 และมาตรา 272

 

ดังนั้นเมื่อเรียงลำดับอย่างเป็นขั้นเป็นตอนจะมองภาพออกทันทีว่า เกมนี้เพื่อไทยมีแต่ได้กับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพรรคก้าวไกลยอมยกตำแหน่งให้พรรคเพื่อไทยด้วยสูตร 15+1 และ 13+1 จะทำให้ตำแหน่งประธานสภาฯเป็นของเพื่อไทยอย่างเป็นทางการทันที

คราวนี้มาถึงหมากเด็ดหลังจากประธานสภาฯตกเป็นของพรรคเพื่อไทย จากนั้นตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ ประธานสภาฯต้องเป็นผู้ออกระเบียบวาระเพื่อกำหนดวันเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้สภาฯโหวต ซึ่งไทม์ไลน์น่าจะอยู่ประมาณวันที่ 10 กรกฎาคม และเมื่อถึงวันดังกล่าว พรรคก้าวไกลเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตามฉันทมติของ 8 พรรคการเมือง แต่ถ้าปรากฎว่า นายพิธาไม่สามารถฝ่าด่านสมาชิกวุฒิสภาในการยกมือสนับสนุน ทำให้ไม่ได้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ทั้งสองสภา คือ 376 เสียง ซึ่งจะส่งผลให้การเสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นหมันไปในทันที

 

 

ดังนั้นเมื่อกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลสะดุด ซึ่งผลจะตามมาคือ การเลือกคณะรัฐมนตรีจะไม่เกิดขึ้นเช่นกัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทูลเกล้าเสนอชื่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งตรงนี้เท่ากับว่าตำแหน่งรัฐมนตรีสูตร 15+1และ 13+1 ไม่มีอยู่จริง และไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีไม่สำเร็จ สิ่งนี้ต่างหากถือเป็นความเขี้ยวลากดินของพรรคเพื่อไทยที่ยอมเสนอสูตรการเมืองทิพย์เพื่อให้พรรคก้าวไกลเดินไปตามเกมที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นจริงได้…!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) สะพานเมกะโปรเจกต์ข้ามแม่น้ำตันเจียง ก่อสร้างเสร็จแล้ว
กระบะเสียหลักชนรถสองแถว นักเรียนบาดเจ็บ 17 ราย
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) จีนเปิดตัวอาคาร “Ultra Zero-Carbon” แห่งแรกของโลกที่มณฑลซานตง
เปิด “ศูนย์ทันตกรรมดิจิทัลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต”
ชลบุรี หนุ่มตามราวี บุกพังประตูห้องอดีตแฟนสาวเจอเพื่อนชายอยู่ในห้อง คว้าเหล็กฟาดไม่เลือกถูกคิ้วแตกเจ็บ
เวทีพัฒนาคุณภาพการศึกษา สู่องค์กรแห่งนวัตกรรม “พลิกโฉม CPN 1”

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​