แพทย์เตือน "หน้าฝน" กิ้งกือชุก ไม่กัด แต่มีพิษ บางรายร้ายแรงจนผิวหนังไหม้ แนะ 3 วิธีรักษา หากโดนพิษกิ้งกือ
ข่าวที่น่าสนใจ
สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ เตือนประชาชนในช่วง “หน้าฝน” ให้ระมัดระวัง กิ้งกือ แม้จะไม่ใช่สัตว์อันตราย ไม่กัด แต่มีพิษ ที่ส่งผลให้ผิวหนังระคายเคืองได้
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ในช่วงฤดูฝน เป็นช่วงที่อาจจะพบกิ้งกือได้บ่อย ๆ ในบ้าน หรือสวนสาธารณะต่าง ๆ ขอให้ประชาชนระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับกิ้งกือโดยตรง
ถึงแม้กิ้งกือไม่ใช่สัตว์อันตราย ไม่กัด แต่ถ้าสัมผัสถูกตัว อาจจะสัมผัสสารพิษของกิ้งกือ ซึ่งจะถูกปล่อยออกมาจากบริเวณข้างลำตัว สารพิษเหล่านี้
- จะมีฤทธิ์ฆ่าสัตว์เล็ก ๆ ประเภทมด หรือแมลง เท่านั้น
- แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อผิวหนังของมนุษย์ได้เมื่อสัมผัสโดยตรง
สารพิษ กิ้งกือ มีลักษณะเป็นของเหลวใสไม่มีสี ประกอบด้วย
- สารกลุ่มไฮโดนเจน ไซยาไนด์ (Hydrogen cyanide)
- ฟีนอล (Phenol)
- กลุ่มเบนโซควิโนน
- ไฮโดรควิโนน (Benzoquinones/hydroquinones)
ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังมีแผลไหม้ได้ และบางรายอาจจะมีอาการปวด รวมทั้งการระคายเคืองของผิวหนังร่วมด้วย
อาการที่พบ
- สารพิษของกิ้งกือจะถูกปล่อยมาจากบริเวณข้างลำตัว มีฤทธิ์ฆ่าสัตว์เล็ด ๆ เช่น มด แมลง
- คนสัมผัสจำทำให้เกิดการอักเสบเป็นผื่นแดง หรือทำให้ระคายเคืองในกรณีถูกพิษกิ้งกือเข้าตา
- กิ้งกือบางสายพันธุ์เท่านั้นที่จะมีต่อมพิษอยู่ตลอกข้างลพตัว สามารถฉีดสารพิษพุ่งออกไปได้ไกล สารพิษมีลักษณะเป็นของเหลวใสไม่มีสี มีฤทฑิ์ทำให้ผิวหนังไหม้ มีอาการปวด 2-3 วัน
การรักษา
- หากถูกพิษของกิ้งกือให้ล้างออกด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาดโดยทันที
- สามารถทายาแก้อักเสบ อาการมักจะหายภายใน 1 สัปดาห์
- หากพิษเข้าตา อาจะทำให้ตาอักเสบ ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด และรีบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยทันที
ข้อมูล : กรมการแพทย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง