No data was found

ลึกไม่ลับ “สารัชถ์” มหาเศรษฐี GULF จากธุรกิจขายไฟฟ้าถึงเจ้าพ่อสื่อโทรคมนาคม

กดติดตาม TOP NEWS

ลึกไม่ลับ "สารัชถ์" มหาเศรษฐี GULF จากธุรกิจขายไฟฟ้าถึงเจ้าพ่อสื่อโทรคมนาคม

ติดตามประเด็นค่าไฟแพงที่กำลังเป็น Talk of the town โดยเฉพาะต้นเหตุแท้จริง เกี่ยวกับนโยบายการจัดซื้อไฟฟ้าจากบริษัทเอกชน อ้างว่าเพื่อสนับสนุนแผนสำรองพลังงาน ขณะที่ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ได้เคยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีดังกล่าวว่า

“ผมคิดในใจทันทีว่าแพงเพราะนาย ส. กลางอ่าว บริษัทของนาย ส. กลางอ่าว ทำสัญญาอะไรไว้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จึงจำเป็นต้องสำรองไฟฟ้าของประเทศไทยไว้เกินกว่า 50 % ทำให้ชาวบ้านและคนไทยตาดำๆ เสียค่า FT แพงโคตรแพงครับ ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่ต้องสำรองไฟฟ้าไว้มากเกินไปขนาดนั้นครับ”

ล่าสุด ดร.อานนท์ ได้แชร์โพสต์ข้อมูล The Momentum ใจความสำคัญส่วนหนึ่ง ระบุถึง “สารัชถ์ รัตนาวะดี” บนเส้นทาง “มหาเศรษฐี” ไทย ว่า ในปี 2565 ชื่อของ “สารัชถ์ รัตนาวะดี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ขึ้นแซงบรรดา “เจ้าสัว” ดั้งเดิม กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย จากการจัดอันดับแบบ “เรียลไทม์” ของนิตยสารฟอร์บส (Forbes) ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 4.32 แสนล้านบาท

 

พร้อมคำถามสำคัญว่า สารัชถ์และกัลฟ์คือใคร บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของประเทศ “ร่ำรวย” มาจากอะไร การเติบโตของกัลฟ์เดินมาด้วยเส้นทางใด มีใครอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่บ้าง เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มักจะมีชื่อของกัลฟ์และชื่อของสารัชถ์ปรากฏขึ้นเสมอทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือคดี “หมิ่นประมาท” กับผู้ที่อภิปรายอย่างน้อย 2 ราย

พร้อมข้อมูลอ้างถึง “สารัชถ์ ว่า เป็นลูกชายของ พลเอก ถาวร รัตนาวะดี อดีตผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัย นายทหาร จปร.5 รุ่นเดียวกับพลเอก สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี, พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี และพลเอก วิมล วงศ์วานิช อดีตผู้บัญชาการทหารบก

ส่วนเส้นทางการศึกษา เรียนจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีบุคคลที่มีชื่อเสียง อยู่ในรุ่นเดียวและรุ่นใกล้เคียง อาทิ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อนรุ่นเดียวกัน และ อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ซีอีโอของ ปตท. คนปัจจุบัน

 

ขณะที่ “สารัชถ์” เริ่มตั้งบริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด แล้วทำธุรกิจพลังงาน ตั้งแต่ปี 2537 ก่อนแตกแขนงเป็นอีกหลายบริษัทในปี 2539 ซึ่งบังเอิญประจวบเหมาะกับการที่ภาครัฐในขณะนั้น มีนโยบายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เริ่มกระจายให้ผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ผลิตไฟฟ้ารับผิดชอบ โดย กฟผ.จะเป็นผู้รับซื้อจากผู้ผลิตเอกชนอิสระ (Independent Power Producer: IPP)

และโครงการในระยะเวลาแรก ก็คือ โรงไฟฟ้าถ่านหินบ่อนอก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กำลังการผลิต 734 เมกะวัตต์ ซึ่งเริ่มต้นก่อสร้างในปี 2541 แต่เนื่องจากถูกชาวบ้านคัดค้านอย่างหนัก สุดท้ายจึงต้องล้มเลิกโครงการในช่วงปี 2545-2546

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ประเด็นน่าสนใจถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเดินโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอกได้ แต่ “สารัชถ์” กลับตัดสินใจเพิ่มทุน บริษัทกัลฟ์ จาก 5,000 ล้านบาท เป็น 1.4 หมื่นล้านบาท ในปี 2547 เพื่อดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าแก่งคอย 1 และ 2 ภายหลังจาก กฟผ. อนุมัติให้กัลฟ์ดำเนินการสร้าง

จากนั้นในปี 2554 มีการตั้งบริษัทโฮลดิงส์ ในชื่อ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ พร้อมรวบรวมหุ้นบริษัทต่างๆ ในเครืออีกหลายบริษัท เพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ก่อนระดมทุนด้วยเปิดขายหุ้น IPO ให้ประชาชนทั่วไป ในเดือนธันวาคม 2560 ราคาหุ้นละ 45 บาท

ความน่าสนใจก็คือ เพียงไม่กี่ปี สถานะทางธุรกิจของกัลฟ์ เติบโตอย่างรวดเร็ว อาทิเช่น ในปี 2564 กัลฟ์แจ้งในรายงานประจำปีว่า มีรายได้รวมมากกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากปี 2563 ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่กำไรในปี 2564 อยู่ที่ 9,167 ล้านบาท ส่วนสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 3.6 แสนล้านบาท

ขณะที่ในปี 2557 “สารัชถ์” เคยถูกเรียกตัวตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังการรัฐประหารโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เนื่องจากถูกมองว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัมปทานเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคล จากโอกาสได้รับผิดชอบโครงการโรงไฟฟ้า ขนาด 5,000 เมกะวัตต์ โดยกัลฟ์เป็นผู้ร่วมประมูลรายเดียว

อย่างไรก็ตาม “สารัชถ์” ยังสามารถขับเคลื่อน “กัลฟ์” ต่อมาได้เป็นปกติ โดยในรายงานประจำปี 2564 ระบุว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าของกัลฟ์ในไทยอยู่ที่ 7,875 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานก๊าซธรรมชาติประเภท IPP จำนวน 61 เปอร์เซ็นต์ พลังงานก๊าซธรรมชาติ SPP หรือ จากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก จำนวน 31 เปอร์เซ็นต์ และ เป็นพลังงานทดแทน 8 เปอร์เซ็นต์ โดยตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2570 จะผลิตไฟฟ้าได้รวม 14,498 เมกะวัตต์ โดยขยายพลังงานก๊าซธรรมชาติ IPP เป็น 77 เปอร์เซ็นต์ พลังงานก๊าซธรรมชาติ SPP ลดลงเหลือ 17 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพลังงานทดแทนลดลงเหลือ 6 เปอร์เซ็นต์

ส่วนลูกค้าหลักของกัลฟ์ มากกว่า 91 เปอร์เซ็นต์คือ กฟผ. และเป็นลูกค้าอุตสาหกรรม 9 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ กัลฟ์มีแผนจะขายให้ลูกค้าอย่าง กฟผ. เพิ่มเป็น 94 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2570 และลดสัดส่วนลูกค้าอุตสาหกรรมลงเหลือ 6 เปอร์เซ็นต์

จากกรณีดังกล่าว ครั้งหนึ่งในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร น.ส. เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) ที่พุ่งขึ้นไปถึง 54 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าประเทศไทยมีการปล่อยให้ผลิตไฟฟ้า จนล้นเกินหลักการ 15-20 เปอร์เซ็นต์ ส่อให้เห็นว่าอาจมีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน

ไม่เท่านั้นยังมีการตั้งข้อสังเกตุด้วยว่า แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan: PDP) ก็ถูกเปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างผิดปกติ รวมถึงมีการแก้ไขในรายละเอียดอยู่บ่อยครั้ง และปัจจัยที่ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองล้นเกิน คือการเปลี่ยนเนื้อหาสาระในแผน PDP ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่ามี “มือที่มองไม่เห็น” เข้ามาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เพื่อแลกกับการสนับสนุนรัฐบาล และ “พรรคการเมือง” หรือไม่

ยิ่งยวดที่สุดกับสถานะความร่ำรวยของ “สารัชถ์” ไม่ได้มีเพียง การผลิตไฟฟ้าขายให้ กฟผ. แต่ยังต่อยอดธุรกิจมาถึงอีกหนึ่งจุดสำคัญ เมื่อได้เข้าไปมีส่วนในการเป็นเจ้าของธุรกิจโทรคมนาคม

 

โดยในปี 2564 กัลฟ์เข้าครอบครองหุ้นของบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) 42 เปอร์เซ็นต์ โดยซื้อหุ้นคืนจากกลุ่ม SINGTEL ประเทศสิงคโปร์ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก่อนจะซื้อหุ้นเพิ่มเป็น 46 เปอร์เซ็นต์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 ทำให้อินทัชเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS โดยสมบูรณ์

และเมื่อ วันที่ 5 มกราคม 2566 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า บริษัท กัลฟ์ เวนเซอร์ส จำกัด โดยบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% ได้ยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และผู้ถือหุ้นของ THCOM เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2566 ด้วยมูลค่ารวม ประมาณ 10,873.33 ล้านบาท

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ระยอง ชวนเที่ยวงานเทศกาลผลไม้และของดีจังหวัดระยอง ประจำปี 2567
นายกเทศมนตรี โอด ยามแล้งๆสุดดินแห้ง ยามฟ้ารั่วฝนก็เทจนเกิดเหตุฝนถล่มน้ำป่าไหลหลากซัดถนนทำนบดินฝายสะพานนาค หมู่ที่ 8 ตำบลวังเย็น อ.แปลงยาว ขาดผู้นำเร่งแก้ไขระยะสั้นนำรถแบคโฮลงดินปิดทางน้ำเตรียมทำรอสะพานแบริ่งจากกรมชลประทานให้ชาวบ้านใช้สัญจร
สภ.เมืองพัทยา เดินหน้าขับเคลื่อนแอพพลิเคชั่น PATTAYA SAFETY เพิ่มช่องทางในการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวไทย-เทศ ในการแจ้งเหตุ-เบาะแส ออนไลน์ผ่านเจ้าหน้าที่ ตร.โดยตรง ตลอด 24 ชั่วโมง
เมืองพัทยา สั่งผู้รับเหมา เทแอสฟัลท์คอนกรีต แก้ไขถนนทางลงเขาพระตำหนักพัทยา หลังได้รับความเสียหายจากการบิดตัวของรถบัสที่เลี้ยวออกซอยอรรถจินดา
ชาวเน็ตแห่แชร์ภาพ สุดหดหู่ แม่พาลูกชายวัย 4 ขวบ ปั่นจักรยานมาขอเข้าวัดกินลูกหิวน้ำเลยไหว้ลาเอาน้ำแดงท้าวเวสสุวรรณมาให้ลูกกินประทังความหิวจนเจ้าอาวาสวัดเข้ามาถามแล้วเอาข้าวมาให้กินก่อนจะพาไปส่งห้องพัก
ผู้นำสโลวาเกีย ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ
รวบแล้ว "มือปืนโหด" ยิงแม่ค้าขายแตงโม-ฟักทอง ดับสลด ต่อหน้าลูกวัย 9 ขวบ
ยาย ป่วยจิตเวช เปิดหน้าต่างบ้านชั้น 2 กระโดดลงมาเจ็บสาหัส
“วธ.” เปิดคูหาประเทศไทยในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ฝรั่งเศส 14-25 พ.ค.นี้
จีน สนามบินเซินเจิ้นเปิดตัวห้องรับรองสัตว์เลี้ยง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น