อ.เกาะช้าง จ.ตราด/เวลา 09.00 น.วันที่ 14 ตุลาคม 2565 ห้องจอมทอง โรงแรมอัยยะปุระ เกาะช้าง จ.ตราด สภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกสภาอุตสาหกรรมจ.ตราด จัดประชุมสัญจร โดย สภาอุตสาหกรรมจ.ตราดเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมขึ้น ซึ่งการประชุมครั้งนี้ มีนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจ.ตราด ส่วนราชการ และภาคเอกชนในจังหวัดตราดและสมาชิกสภาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกร่วมกว่า 180 คน

คุณธรา วัฒนวินิน ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราด กล่าวรายงานว่า การจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการติดอาวุธทางความคิด และเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพทางการอุตสาหกรรม ให้กับ สมาชิก ผู้ประกอบการ สภาอุตสาหกรรมฯ จังหวัดตราด และในภาคตะวันออก ให้สามารถพัฒนาธุรกิจให้เจริญเติบโตแล้ว ยังนับได้ว่าเป็นการ “เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทยที่เข้มแข็งกว่าเดิม” ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ “ONE VISION” ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของสภาอุตสาหกรรมฯ ภายใต้ นโยบายการขับเคลื่อน ส.อ.ท. “ONE FTI” หรือการหลอมรวมทุกภาคส่วนให้เป็นหนึ่งเดียวกันในวาระนี้ โดยอาศัยยุทธศาสตร์ 4 ข้อ ในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม โดยทุกภาคส่วนทั้งในส่วนของภายใน ส.อ.ท. ที่ประกอบไปด้วย สมาชิก 15,000 ราย 45 กลุ่มอุตสาหกรรม 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ ส.อ.ท. ภายนอกประกอบไปด้วย หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา องค์กรภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ จะร่วมกันทำงานเป็น “ONE TEAM” เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน “ONE GOAL”

ดร.สาโรจน์ วสุวานิช ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออก กล่าวว่า ปัจจุบัน ภาคอุตสาหกรรม ต้องมีการปรับตัวและพัฒนาตนเองสู่ความยั่งยืน ทั้งการมุ่งสู่การเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Town) เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมในการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์เพื่อหาปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจการ และพัฒนาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-products) ที่สามารถส่งเสริมและสนับสนุนภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้ง Supply chain ที่นอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรมได้

ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมฯ ในฐานะองค์กรกลางของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาคเอกชน ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการเสริมสร้างประสิทธิภาพเพื่อการอุตสาหกรรม รวมทั้งเพิ่มโอกาสการสร้างงาน การกระจายรายได้ สร้างความเสมอภาคและความเป็นธรรมทางสังคม ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการนำหลักการ BCG ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินกิจการขององค์กร ทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดตั้งสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการพัฒนา Thailand Carbon Credit Exchange Platform รวมทั้งการจัดตั้ง RE100 Thailand Club เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์ “ONE VISION” “เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรมไทย เพื่อประเทศไทย ที่เข้มแข็งกว่าเดิม” (Strengthen Thai Industries for Stronger Thailand) จาก นโยบายการขับเคลื่อน ส.อ.ท. “ONE FTI” โดยอาศัยยุทธศาสตร์ 4 ข้อ ในการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม โดยทุกภาคส่วนจะร่วมกันทำงานเป็น “ONE TEAM” เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน “ONE GOAL”
หลังจากนั้น นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ“ฝ่าวิกฤตสู่โอกาส พัฒนาตราดก้าวทันโลก”ซึ่งได้สะท้อนปัญหาและอุปสรรคการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยในปัจจุบัน และในอนาคต โดยระบุว่า ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้ ทางสภาอุตสาหกรรมกำลังมองว่าเมื่อน้ำมาจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมเหมือนปี 2554 หรือไม่ เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นจะส่งผลกระทบไม่เพียงไทยและนานาชาติจะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะไทยส่งสินค้าอุตสาหกรรมไปต่างประเทศมาก ขณะที่ปัญหาของโลกขณะนี้ก็ส่งผลกระทบกับไทย คือ ส่งครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น และสหรัฐไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเพราะจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงมีแรงกดดันในการแก้ปัญหา ทั้งนำน้ำมันสำรองมาใช้ การผลักดันให้เพิ่มกำลังผลิต และการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งผลกระทบต่อค่าเงินของนานาประเทศเมื่อเทียบดลกับดอลล่าร์ ไทยก็ค่าเงินบาทอ่อน ถึง 38-39 บาท/ดอลล่าร์ และปลายปีนี้ก็จะเตะ 40 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะดีสำหรับผู้ส่งออกแต่ผู้ผลิตสินค้าในประเทศจะแย่ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอีได้
นายเกรียงไกร กล่าวว่า นับจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมของไทยจะต้องปรับตัวเพื่อยกระดับการลงทุนเพื่อพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี่สูงเพื่อแก้ไขการดิสครัปชั่น รวมทั้งหันไปพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรกรรมเป็นSMART AGRICULTURE INDUSTRY(SAI) เป็น
SMART FARMING และการพัฒนาBCG MODEL ของคลัสเตอร์อุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตที่จะเป็นรากฐานก่อนเกิดอุตสาหกรรมอีก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 11 คลัสเตอร์โดยแนวคิดเหล่านี้เป็นแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ได้นำเสนอใหรัฐบาลผลักดันเพื่อปรับทิศทางอุตสาหกรรมไปในทางนี้ซึ่งจะเป็นทางรอดของอุตสาหกรรมไทยในวันนี้ โดยจะมีสภาอุตสาหกรรมทั้ง 76 จังหวัดร่วมกันพัฒนาและผลักดันให้เกิดผลทางปฏิบัติ

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า ในส่วนของจังหวัดตราดนั้น ภาพของเศรษฐกิจจะมุ่งเน้นหลักไปทางสินค้าทางการเกษตรเป็นหลัก ทั้งผลไม้ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา แต่สิ่งที่จังหวัดตราดมีก็คือ สินค้าทางการเกษตรซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะสามารถพัฒนาให้จังหวัดตราดเป็นยักษ์เล็กในพาคตะวันออกได้ เพราะจ.ตราดเป็นจังหวัดที่มีขนาดทางเศรษฐกิจน้อยกว่าทุกจังหวัด แต่การที่จ.ตราดมีพืชผลทางการเกษตรกรรมมากจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโออิคอโนมิค Bio Economic ที่จะเป็นต้นทุนการผลิตสินค้าต่างๆได้จำนวนมาก เช่น ไบโอพลาสติกที่วันนี้ไทยคือผู้ผลิตมากที่สุดในโลก ซึ่งหากสามารถทำได้จะทำให้จังหวัดตราดเป็นยักษ์เล็กของภาคตะวันออกได้

