วันที่ 2 ตุลาคม 65 มีเหตุฆาตกรรมโดยถูกอาวุธปืนลูกซองยิงจนเสียชีวิตบนเขาบุญมาก หมู่8 ต.จันทเขลม อ.เขาคิชฌกูฎ ทราบชื่อของผู้เสียชีวิตคือนายเฉลย เดือนแรม อายุ 39 ปี มีบาดแผลถูกยิงบริเวณศีรษะมีรอยของกระสุนเข้าจำนวน 8 รู มีกระสุนหนึ่งนัดไปฝังอยู่บริเวณต้นไม้ไก่กับผู้เสียชีวิต สภาพของผู้เสียชีวิตนอนทับอาวุธปืนยาวลูกกดขนาด .22 LR ยี่ห้อรูเกอร์ ลักษณะของปืนพร้อมใช้งานกระสุนถูกป้อนเข้าสู่รังเพลิง เซฟถูกปลดออก
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าทำการตรวจสอบในที่เกิดเหตุพร้อมกับเก็บหลักฐานทั้งหมด ใกล้กันยังพบตัวนายธงชัย แก้วทรัพย์ อายุ 56 ปี เป็นผู้ที่ให้การว่าขึ้นมาบนเขาพร้อมกับผู้เสียชีวิต (เสื้อสีน้ำเงินคอปกชมพู) เล่าเหตุการณ์ว่า ช่วงก่อนเกิดเหตุผู้เสียชีวิตพร้อมกับตนเองเดินขึ้นมาบนเขาเมื่อช่วงประมาณ 9 โมงเช้าเพื่อไปตามน้ำ เนื่องจากน้ำที่ดึงมาจากบนเขาเพื่อนำมาเก็บไว้ในสระน้ำภายในสวนทุเรียนนั้นเกิดน้ำไม่ไหล
ตนเองจึงขึ้นไปตามท่อน้ำเพื่อหาจุดที่ท่อขาดหรือพังเสียหาย แต่ผู้เสียชีวิตเดินนำหน้าตนเองไปก่อน เนื่องจากตนเองนั่งพักอยู่ห่างกันประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดตนเองจึงวิ่งขึ้นมาดูก็พบว่าผู้เสียชีวิตนอนหมดสติจึงเดินลงเขาไปแจ้งญาติของผู้เสียชีวิตให้ทราบ ส่วนตนเองนั้นไม่ได้มีอาวุธปืนขึ้นไปด้วย นี่เป็นคำให้การในครั้งแรกของผู้ก่อเหตุ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจตระเวนชายแดน สุนัขดมกลิ่นของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 11 เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดของตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ดำเนินการเก็บพยานหลักฐานเพิ่มเติมในทุกด้านที่เกี่ยวข้องรวมทั้งผู้ต้องสงสัยที่เคยมีเรื่องบาดหมางเรื่องแนวเขตที่ดินด้วย จากนั้นรวบรวมอาวุธปืนของผู้ที่อยู่ใกล้เคียงและผู้ต้องสงสัยส่งตรวจเพื่อเก็บวัตถุพยานทางวิทยาศาสตร์ เก็บตัวอย่างดิน พร้อมกับหาวิถีกระสุนและพยานหลักฐานที่พอจะหลงเหลือในที่เกิดเหตุส่งตรวจทั้งหมด ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงสอบปากคำของลุงแก้ว ผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุพร้อมกับผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง จนผู้ก่อเหตุทนความกดดันไม่ไหวจึงยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือโดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาทั้งหมด 7 วันรวมวันเกิดเหตุ จึงสามารถชี้ตัวผู้ลงมือก่อเหตุได้ คือตัวของนายธงชัย แก้วทรัพย์ หรือนายแก้ว คนสนิทที่ขึ้นเขาไปพร้อมกับผู้เสียชีวิตนั่นเอง โดยหลังจากที่ผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพแล้วจึงนำตัวขึ้นไปบนเขาเพื่อชี้. ที่ก่อเหตุและหาอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ เนื่องจากผู้ก่อเหตุได้แยกอาวุธปืนเป็น 3 ส่วนแล้วโยนทิ้งในป่า
โดยแยกชิ้นที่ 1.เป็นลำกล้อง 2.ประกับที่ใช้ยึดลำกล้องกับตัวปืน 3.พานท้ายปืน
โดยยลุงแก้วผู้ก่อเหตุได้เล่าเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้ฟังว่า “ ในวันเกิดเหตุตนเองกับผู้เสียชีวิตชวนกันเดินทางขึ้นไปล่าหมูป่าบริเวณบนเขาที่เกิดเหตุ โดยต่างคนต่างออกเดินตามแกะรอยของหมูป่า ตนเองใช้อาวุธปืนลูกซองยาวเป็นอาวุธ ขณะที่กำลังติดตามตัวหมูป่าอยู่นั้นก็เห็นพุ่มไม้สั่นไหวตนเองคิดว่าเป็นตัวหมูป่า จึงยิงปืนเข้าไปหนึ่งนัดแต่พอวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ากลายเป็นนายเฉลย เพื่อนของตนเอง ตนเองตกใจ ทำอะไรไม่ถูกจึงได้แยกปืนออกเป็นสามส่วนแล้วนำไปโยนทิ้งห่างจากที่เกิดเหตุไม่ไกลจากนั้น ก็ลงไปแจ้งญาติของผู้เสียชีวิตพร้อมกับแจ้งเรื่องราวว่าผู้เสียชีวิตถูกใครยิงก็ไม่ทราบ ส่วนเรื่องที่ชั้นสองขึ้นไปตามน้ำนั้นเป็นเรื่องที่ตนเองกุเรื่องขึ้นมาเนื่องจากไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าขึ้นไปล่าสัตว์เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หลังจากนั้นในช่วงเย็นของวันนี้เจ้าหน้าที่จึงพาตัวผู้ก่อเหตุขึ้นไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพบนเขาที่เกิดเหตุโดยห้ามไม่ให้ สื่อมวลชนติดตามขึ้นไปด้วย
จากคำบอกเล่าและคำรับสารภาพของผู้ก่อเหตุสอดคล้องกับการสันนิษฐานของหลายคนว่าอาวุธปืนของผู้เสียชีวิตนั้นอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานก็เป็นไปได้ว่ากำลังไล่ยิงสัตว์ป่าอยู่ไม่ได้เป็นการเตรียมยิงต่อสู้แต่อย่างใด ปิดคดี
สมเศียร โชติสนิท ผู้สื่อข่าว ประจำ จ.จันทบุรี
