พลเอกเบน วอลเลซ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแห่งสหราชอาณาจักรให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ซันเดย์เทเลกราฟว่า ทางรัฐบาละทุ่มเงินอย่างน้อย 5.2 หมื่นล้านปอนด์ (ประมาณ 2 ล้านล้านบาท) เพื่อสนับสนุนกองทัพที่กำลังเติบโตอย่างจริงจัง และตามรายงานของทางการ งบประมาณการป้องกันประเทศจะเพิ่มขึ้นทุกปี และจะไปอยู่ที่ 1 แสนล้านปอนด์ (ประมาณ 4 ล้านล้านบาท) ในปี 2030 โดยแผนดังกล่าว สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์ ที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายด้านกลาโหมให้มากขึ้น
ทั้งนี้ วอลเลซได้มีการพาดพิงไปถึงนายริชชี่ สุแนค อดีตรัฐมนตรีการคลังว่า แต่ก่อน กระทรวงการคลังพยายามที่จะกำหนดขนาดของกองทัพ ซึ่งเราก็เคยชินอยู่กับสิ่งนี้มา 30-40 ปี ไม่ว่าจะเป็นการป้องกัน หรือการปรองดองไปกับการต่อสู้ยุคใหม่ แต่ตอนนี้พวกเขาควรจะต้องชินไปกับวัฒนธรรม ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ ตนมั่นใจในนายควาสี ควาร์เต็ง รัฐมนตรีการคลังคนใหม่ว่า จะมีความเข้าใจที่มากขึ้น ต่อความต้องการของกองทัพ
วอลเลซยังเปิดเผยในความเห็นส่วนตัวด้วยว่า ความเต็มใจของผู้นำคนใหม่ ที่จะเพิ่มงบประมาณในกองทัพให้มากขึ้น เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับตน ในการตัดสินใจว่า จะเลือกใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ซึ่งเหตุที่สนับสนุนทรัสส์ เป็นเพราะ ตนไม่ต้องการอดทนอยู่กับความเสี่ยง จากการรุกรานของรัสเซียอีกต่อไป
ทั้งนี้ ในการรายงานของบลูมเบิร์กพบว่า ทรัสส์มีแนวโน้มจะล้มเลิกแผนการของอดีตนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ที่จะลดขนาดของทหารออกไป 9,500 นาย การเปลี่ยนแปลงนี้ คาดว่าจะเปิดเผยในสิ้นปี 2022 ซึ่งทางดาวนิ่งสตรีท ก็ได้ชี้แจงล่วงหน้าว่า เป็นความจำเป็น ที่จะต้องยืนหยัดต่อต้านการบีบบังคับจากอำนาจเผด็จการ เช่นรัสเซียและจีน
การตัดสินใจเรื่องเพิ่มงบประมาณทางทหารเกิดขึ้น ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากมาตรการโควิด-19 และการคว่ำบาตรของสหราชอาณาจักร ที่มีกับรัสเซีย โดยทางสำนักงานสถิติแห่งชาติ (หรือ ONS) ได้รายงานว่า ดอกเบี้ยหนี้ค้างชำระของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ได้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จนเกิดความกังวลว่า แผนการสนับสนุนสำหรับครัวเรือนและธุรกิจของทรัสส์ จะผลักดันให้เกิดการกู้ยืมที่สูงไปกว่านี้อีก และนำไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่านี้ต่อไป