ข่าวที่น่าสนใจ
นายชิติพัทธ์ จั่นทอง บอกว่า ตนเองประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาเป็นเวลานานหลาย 10 ปี และค่อนข้างที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจาก คนงานส่วนใหญ่ เป็นแรงงานชาวกัมพูชาจำนวนมาก สาเหตุที่ต้องใช้แรงงานกัมพูชา เพราะคนกัมพูชาค่อนข้างมีฝีมือในงานก่อสร้าง และ นิสัยค่อนข้างดี ควบคุมได้ง่าย โดยก่อนหน้านี้ที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ลูกน้องก็ทำงานตามปกติ แต่พอเกิดสถานการณ์ การสื่อสารในประเทศไทย กับ ประเทศกัมพูชา มีความต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยคนในประเทศกัมพูชา พยายามมาสื่อสาร กับคนกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ในเชิงลักษณะ เช่น หากไม่กลับ จะถูกยึดบ้านและที่ดิน , ยึดพาสปอร์ต , ต่อไปจะไม่มีสถานกงสุลในประเทศไทย , ระวังจะถูกคนไทยทำร้าย , และอื่นๆอีกมากมาย จนทำให้ กลุ่มลูกน้องกัมพูชาเริ่มกลัวและมีความกังวล ก่อนจะตัดสินใจ ลาออกและเก็บข้าวของเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดไปจนเกือบหมดเกลี้ยง จนปัจจุบันตนเองเหลือแรงงานชาวกัมพูชาทำงานเพียง 7-8 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ยังอยากฝากถึง อดีตผู้นำประเทศกัมพูชา อย่าง สมเด็จฮุน เซน อยากให้มองประชากรของประเทศตัวเองสำคัญมากกว่าธุรกิจส่วนตัว และ ไม่อยากให้มีการกดดันประชากรของตนเอง เดินทางกลับประเทศ รวมถึง ผู้นำในประเทศไทย ช่วยหาแนวทางการแก้ไขปัญหา ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ และ อยากให้มองผลประโยชน์ของประเทศชาติสำคัญทั้ง 2 ฝั่ง
นายดำ อายุ 40 ปี หนึ่งในคนงานก่อสร้างชาวกัมพูชา มาทำงานอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 5 ปี เล่าว่า ระหว่างที่เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดน ยอมรับว่ากลัวมาก เพราะครอบครัวส่วนใหญ่อาศัยอยู่ติดกับชายแดนไทยกัมพูชา และ กลัวบ้านจะถูกกระสุนปืน ในปัจจุบันมีเพื่อนร่วมอาชีพสัญชาติเดียวกัน เดินทางกลับประเทศไปจำนวนมาก สาเหตุเป็นเพราะกระแสข่าวในประเทศกัมพูชา หากใครไม่เดินทางกลับ จะถูกยึดที่ดินและบ้าน ทำให้ชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยเกิดการหวั่นกลัว และ กลัวจะถูกคนไทยทำร้าย จึงตัดสินใจกลับบ้านที่ประเทศกัมพูชา ส่วนที่ตัวเองยังไม่กลับ เพราะนายจ้างขอร้องให้อยู่ช่วยงาน และ ถ้าหากตนเองกลับบ้านไปก็ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะ ยอมรับว่ามีการกู้เงินจาก จากธนาคารในประเทศกัมพูชา มาสร้างบ้าน หากกลับไป คงหาเงินมาใช้หนี้ไม่ได้ สุดท้าย ส่วนตัวไม่อยากให้เกิดสงครามและอยากให้ประเทศไทยและประเทศกัมพูชา กลับมาดีกันเหมือนเดิม
ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปโรงงานอู่ต่อเรือนำเที่ยว สปีดโบ๊ท ( เอส อาร์ ) รายใหญ่ของจังหวัดชลบุรี ในพื้นที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และ ได้พูดคุยกับเจ้าของอู่ คือ นาย สิทธิกร ป้อมทอง (หนุ่ม SR) อายุ 42 ปี เปิดเผยว่า ตนเองได้รับผลกระทบอย่างหนักกับเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องโรงงานของตนเอง ใช้แรงงานกัมพูชากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังเกิดเรื่อง ทำให้แรงงานกัมพูชา เดินทางกลับประเทศเกินครึ่ง จนทำให้งานสะดุด งานผลิตชะลอตัว ไม่มีคนทำงาน ส่วนสาเหตุที่ลูกน้องชาวกัมพูชาเดินทางกลับไป ซึ่งจากการพูดคุยกัน ทราบว่า ญาติๆในเขมร โทรศัพท์มาบอกว่า ถูกผู้ใหญ่บ้าน ในหมู่บ้าน มาบอกให้คนกัมพูชาที่ทำงานไทย รีบเดินทางกลับประเทศ มิฉะนั้น จะถูกยึดที่ดิน และ ถอดชื่อออกทะเบียนราษฎร์ของกัมพูชา แถมยังถูกปั่นกระแส ว่าระวังคนไทยจะทำร้าย เวลาเจ็บป่วยไปโรงพยาบาล ก็ระวังถูกหมอ พยาบาล ฉีดยาผิดให้ จนทำให้แรงงานชาวกัมพูชา ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด ส่วนตัวพยายามเจรจาพูดคุย และ การันตีความปลอดภัยให้กับลูกน้อง แต่ก็ไม่สำเร็จ จนทำให้ตอนนี้ตนเองขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก สุดท้ายอยากฝากให้รัฐบาล ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ ทั้งแม้จะเกิดความไม่สงบในเขตชายแดน แต่การทำมาหากินต้องเดินหน้าต่อไป และอยากให้รัฐบาล ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยและแรงงานคนกัมพูชา
นายตา อายุ 34 ปี ชาวกัมพูชา ซึ่งทำงานอยู่ในโรงงานอู่ต่อเรือสปีดโบ๊ท บอกว่า ก่อนหน้านี้มีเพื่อนกัมพูชา มาชวนกลับบ้าน โดยบบอกว่า จะอยู่ทำไม อยู่ไปก็มีปัญหา อันตราย และ ไม่ปลอดภัย ซึ่งตนนั้นเจ้านายดูแล และ ให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี รวมถึงรัฐบาลไทย ก็ให้เกียรติชาวกับกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทย จึงตัดสินใจไม่กลับ ส่วนตัว เลือกจะไม่ดูข่าวในประเทศตัวเอง เพราะดูไปแล้ว ก็จะเครียด จนทำให้ตนเองอยากเดินทางกลับบ้า พร้อมทั้งอยากฝากถึงชาวกัมพูชา ไม่อยากให้เกลียดชังคนไทยหรือไปหาเรื่องคนไทย และ ประเทศไทยยังที่ที่ปลอดภัย อีกทั้งไม่อยากให้ทั้ง 2 ประเทศเกิดปะทะกันอีก
ภาพ/ข่าว อนันต์ กิ่งสร / ทิวากร กฤษมณี ผู้สื่อข่าว TOPNEWS ทั่วไทย จ.ชลบุรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง