พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. และแพทย์หญิงอภิสมัย สีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. ร่วมประชุมผู้บริหารสื่อทั้งในและต่างประเทศ ภายในสำนักงาน กสทช. เพื่อหารือแนวทางปฏิบัติในการถ่ายทำภาพยนตร์ และรายการโทรทัศน์ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2564
ในที่ประชุม พล.อ.ณัฐพล กล่าวเน้นย้ำ การแก้ไขควบคุมโรคได้ดีที่สุด จะต้องประกอบด้วย รัฐ เอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน กล่าวคือ รัฐกำหนดนโยบาย โดยมีเอกชน และ ประชาชนให้ความช่วยเหลือ และหนุนการทำงาน ขณะที่สื่อมวลชน ช่วยชี้แจงทำความเข้าใจ ก็จะก้าวข้ามสถานการณ์นี้ไปได้ พร้อมชี้แจงระบบการทำงานแก้ไขปัญหา โควิด 19 ที่มี ศบค. กำหนดนโยบาย โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม นั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ ศบค. ยืนยันในโครงสร้าง ศบค. ทำงานร่วมมือกันทุกภาคส่วน
ขณะเดียวกัน ชี้แจง การประกาศ ฉบับที่ 28 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ล่าสุด ที่มีการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ เนื่องจากจำเป็นที่ต้องต้องปรับให้ทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะการระบาดที่แพร่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการปรับมาตรการต่างๆที่เพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องนำเข้าที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เพราะ ศบค.ชุดใหญ่ ได้ออกข้อกำหนดให้มีการเพิ่มมาตรการ ไว้แล้ว
ส่วนข้อกำหนดฉบับที่ 28 มีความจำเป็น ต้องดำเนินการโดยด่วน เพื่อลดการเดินทางออกจากเคหะสถานของประชาชน ลดการแพร่เชื้อ เร่งการฉีดวัคซีน และชะลออัตราการระบาด ที่รุนแรงของโรค โดยต้องหยุดยั้งการกระทำใดๆ ที่เสี่ยงหรือเป็นเหตุให้แพร่เชื้อ
ผอ.ศปก.ศบค. ยังชี้แจงถึงข้อสงสัย ทำไมถึงไม่มีการสั่งห้ามไปเลย ว่า การออกประกาศ หรือ คำสั่ง เมื่อประกาศไปแล้วต้องทำได้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา โดยมีความคาดหวังว่าประชาชนจะให้ความร่วมมือ อย่างน้อย 14 วันโดยฝ่ายความมั่นคงไม่อยากที่จะมีการตั่งด่าน ย้ำว่าข้อกำหนดฉบับที่ 28 จะให้ WFH แบบ 100เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอยากขอความร่วมมือภาคเอกชนในช่วงเวลานี้ เพื่องดการเดินทาง
ด้านนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ในประเทศไทย ที่ยอมรับว่าขณะนี้เป็นการแค่ชะลอไม่ให้ตัวเลขติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่หากไม่มีมาตรการที่เข้มขึ้น ก็จะพบตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงขอความร่วมมือทุกคนในการที่จะร่วมมือกันดูแลตัวเอง
จากนั้นที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนสอบถาม พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ โดยเฉพาะ ประธานสภาสื่อมวลชนแห่งชาติ ที่เสนอประเด็นการบริการจัดการเรื่องวัคซีนว่าไทยมีจำนวนเพียงพอตามความต้องการของประชาชนหรือไม่ รวมถึงปัญหาคอลเซ็นเตอร์ในการจัดหาเตียง การรักษาตัวที่บ้าน หรือ Home Isolathion รวมถึงการสื่อสารต้องมีที่มีความชัดเจน
โดยประเด็นการบริหารจัดการวัคซีน อธิบดีกรมควบคุมโรค ยอมรับในข้อทักทวงเรื่องการกระจายวัคซีน แต่ยืนยันว่า ในเดือน มิ.ย.ไทยได้รับวัคซีน 6 ล้านโดส และในเดือน ก.ค. อีก 10 ล้านโดส ซึ่งได้คาดการณ์ไว้เช่นนั้น ทั้งนี้ตามเป้าหมายคือไทยจะมีวัคซีนจนถึงสิ้นปี 2564 นี้ 100 ล้านโดส ขณะนี้มีการการจัดหาวัคซีนเพิ่มทั้ง ชิโนแวค และไฟเซอร์ และเตรียมเจรจาเพิ่ม อีก โดยการกระจายวัคซีนจะเน้นไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะในพื้นที่ระบาดที่สูง ยืนยันการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ มีจำนวน 20 ล้านโดส แต่เตรียมเจรจาเพิ่มอีก 50 ล้านโดส โดยจะมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่ก็ต้องปฏิบัติตามองค์ข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก พร้อมยอมรับว่า ข้อมูลการจัดซื้อวัคซีน มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นจะปรับปรุงในเรื่องของการให้ข้อมูล พร้อมยืนยันว่า เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข และ กรมควบคุมโรค มีข้อมูลที่จะอ้างอิงในการจัดหาวัคซีน ทั้งหมด รวมถึงยุทธศาสตร์วัคซีนในไทย
อธิบดีกรมควบคุมโรคยังตอบคำถามเพิ่มเติม ว่า คาดว่าในอีก2สัปดาห์ ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะไม่ลดลง ดังนั้นจึงต้องเพิ่มมาตรการที่เข้มขึ้นเพื่อควบคุมการระบาด แต่หากแนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อยังสูงต่อเนื่อง ใน 2 เดือน ก็มีแนวโน้มจะใช้มาตรการคล้ายเมืองอู่ฮั่น ของจีน คือ ล็อกดาวน์เมืองนั้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด นั้นคือประชาชนอยู่บ้าน งดการเดินทาง หรือถึงขั้นต้องส่งข้าว ส่งน้ำตามบ้าน เป็นต้น