“ทักษิณ” ชนะคดี ศาลภาษีฯเพิกถอนการประเมินเก็บภาษีขายหุ้นชินคอร์ปฯ

"ทักษิณ" ชนะคดี ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปฯ จำนวน 17,000 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2565 ศาลภาษีอากรกลาง มีคำพิพากษาคดีความแพ่งหมายเลขดำ ภ.220/2563 ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร , นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ ผู้แทนอธิบดีกรมสรรพากร , นายประภาส สนั่นศิลป์ ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด จำเลยที่ 3 นายพิสิทธิ์ ศรีวรานันท์ จำเลยที่ 1-4 ผู้แทนกรมการปกครองในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ กรณีประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายหุ้น บ.ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 17,000 ล้านบาท โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การที่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ถือเอาการออกหมายเรียกนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ในฐานะตัวแทนเชิด เป็นการออกหมายเรียกโจทก์ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากรในฐานะตัวการ เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินต้องออกหมายเรียกไปยังโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง

แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินมิได้ออกหมายเรียกตรวจสอบโจทก์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับนิติกรรมที่ทำขึ้นไม่ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธ์ในหุ้นของบริษัทชินคอร์ป แต่อย่างใด โดยยังถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่ โจทก์จึงมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 และมิใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร มีผลทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยยืนตามการประเมิน ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่เจ้าพนักงานประเมินและจำเลยที่ 2-4 กระทำไปตามอำนาจหน้าที่จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว

พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีนี้ยังอยู่ในระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา โดยขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีคู่ความยื่นอุทธรณ์

สำหรับคดีนี้ เป็นคดีหลังจากที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง นายทักษิณ คดีร่ำรวยผิดปกติ ขอให้ริบทรัพย์สิน 76,000,000,000 บาท พร้อมดอกผลที่ได้มาจากการขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ตกเป็นของแผ่นดิน

องค์คณะฯพิจารณาแล้วพิพากษาว่า นายทักษิณ ใช้อำนาจขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ ออกนโยบายเอื้อประโยชน์บมจ.ชินคอร์ป ฯ ที่ครอบครัวถือหุ้นทำให้มีทรัพย์สินร่ำรวยผิดปกติ จึงให้ยึดทรัพย์สินในชื่อ นายทักษิณและครอบครัวที่ได้จากการขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปฯ จำนวน 46,000,000,000 บาทเศษ พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน

ต่อมาช่วงปี 2549 – 2552 กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีโอนหุ้นชินคอร์ป กับนายพานทองแท้ และเอม พินทองทา ทำนองว่าเป็นตัวแทนของนายทักษิณ จึงต้องเก็บภาษีจากคนทั้งสอง นำมาสู่การฟ้องร้องคดีนี้

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ย้อนเส้นทางเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปฯ จากนายทักษิณ

-23 มกราคม 2549 นายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกองทุนเทมาเส็ก จำนวน 1,487 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 ล้านบาท รวมเป็นเงินกว่า 73,271 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษี ซึ่งในขณะนั้นให้เหตุผลไว้ว่า ได้รับการยกเว้นตามกฎหมายเพราะเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหุ้นดังกล่าวซื้อจากบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสต์เมนต์ จำกัด ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท
-23 เมษายน 2550 มติ คตส. ให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีบริษัท แอมเพิลริช เนื่องจาก แอมเพิล ริช มีกรรมการบริษัทในขณะเกิดหนี้ภาษี คือ นายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ในฐานะเป็นกรรมการบริษัท ต้องเสียภาษีในฐานะเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทย ทั้งเงินปันผล เงินได้จากการขายหุ้น และการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ และภาระปลอดหนี้

-26 กุมภาพันธุ์ 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายึดทรัพย์นายทักษิณจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท พร้อมชี้ว่านายทักษิณ คือ เจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริง

-29 ธันวาคม 2553 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้กรมสรรพากรงดเก็บภาษีซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของนางสาวพิณทองทาและนายพานทองแท้จากแอมเพิลริชนอกตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากศาลฎีกานักการเมืองพิพากษาแล้วว่า เจ้าของหุ้นตัวจริงคือนายทักษิณ

-ประเด็นนี้ยังมีปัญหาเรื่องอายุความ เพราะหน่วยงานรัฐได้เห็นต่างเรื่องนี้ โดยกรมสรรพากรมองว่า อายุความหมดไปตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2555 เนื่องจากกรณีที่ผู้เสียภาษีมาเสียภาษีเงินได้ไม่ครบถ้วน ประมวลรัษฎากรให้กรมสรรพากรออกหมายเรียกมาไต่สวนภายใน 5 ปี แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการออกหมายเรียกนายทักษิณมาไต่สวนแต่อย่างใด

 

-13 มีนาคม 2560 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม และเห็นว่ากรมสรรพากรเคยออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และ นางสาวพิณทองทา ซึ่งเป็นนอมินีที่ถือหุ้นแทนนายทักษิณ มาไต่สวนเมื่อปี 2555 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 – 821 จึงให้ถือว่าเคยออกหมายเรียกนายทักษิณมาไต่สวนแล้ว และทำให้อายุความขยายมาจนถึง 31 มีนาคม 2560 นอกจากนี้กรมสรรพากรยังสามารถประเมินภาษีนายทักษิณได้ โดยไม่ต้องออกหมายเรียกมาไต่สวนอีก และทันทีที่ส่งหนังสือประเมินให้นายทักษิณ “อายุความ” ก็จะหยุดลง

-28 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากรจึงนำหนังสือแจ้งประเมินภาษีการขายหุ้นชินคอร์ปของนายทักษิณ รวมเป็นเงินกว่า 17,629 ล้านบาท ไปติดไว้บริเวณหน้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งเป็นบ้านพักของนายทักษิณ

-25 เมษายน 2560 ทีมกฎหมายของนายทักษิณจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดี คัดค้านการประเมินภาษีเพื่อเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สันติสุข" เทียบเจ็บ "ฮุน เซน" เหมือนคนคลั่งยา จับสมาชิกครอบครัวเป็นตัวประกัน ปลุกระดมทะเลาะไทย พาคนในชาติเดือดร้อนทั่วหน้า
วธ.เตรียมจัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย กลางใจกรุงเทพฯ มางานเดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วไทย
เพื่อไทยกร้าวสุด "สส.อีสาน" เล่นใหญ่ เสนอกลางวงประชุมพรรค ลั่นถึงเวลาทวง "มหาดไทย" คืน
กลาโหมกัมพูชากล่าวหาไทยละเมิด MOU 2543
สถานทูตในอิหร่านเตือนคนไทยออกจากเตหะราน
ครม. เห็นชอบแต่งตั้ง "เกษร" เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
อิสราเอลขู่คาเมเนอีระวังมีชะตากรรมเหมือนซัดดัม
ศน. ประกาศผลประกวดบรรยายธรรมระดับประเทศ 24 เยาวชนคนเก่ง รับโล่พระราชทาน "กรมสมเด็จพระเทพฯ"
“ไพบูลย์” ย้ำพปชร.ไม่ร่วมรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” หาก “ภูมิใจไทย” ถอนตัวจากพรรคร่วม
สร.รฟท. ลงพื้นที่อีสาน ให้กำลังใจทหาร "ตาเมือนธม" คารวะทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยแผ่นดิน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น