วันที่ 30 มิ.ย. – พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหมได้ประชุมร่วมกับหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม กอ.รมน. เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อติดตามการสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาโควิด 19 โดยพล.อ.ชัยชาญได้เน้นย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ขอบคุณทุกเหล่าทัพและตำรวจ ที่สนับสนุนรัฐบาลจัดกำลังพลเข้าควบคุมแคมป์คนงานและพื้นที่ชุมชนเสี่ยงสูงที่ผ่านมา รวมทั้งสนับสนุนการจัดตั้งและบริหารจัดการสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐ ( SQ ) 35 แห่ง และสถานที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก ( ASQ ) 146 แห่ง ต่อเนื่องตั้งแต่ มี.ค.63 เป็นต้นมา โดยขอให้เตรียมการส่งมอบภารกิจการบริหารจัดการสถานที่กักกันโรคทางเลือก ( AQ ) ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อตั้งแต่วันที่1 ก.ค. 64 เป็นต้นไป
พล.ท.คงชีพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายกฯยังได้กำชับให้เตรียมความพร้อมรับทหารกองประจำการผลัดที่ 1/64 ที่จะทยอยเดินทางเข้าประจำหน่วยทหารทั่วประเทศพร้อมกัน ระหว่างวันที่ 1-3 ก.ค.64 โดยให้มีการคัดกรองและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมที่สาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด ทั้งการจัดเตรียมสถานที่และกระบวนการรับตัวทหาร ตั้งแต่การรายงานตัวในพื้นที่จังหวัดอำเภอ การจัดยานพาหนะและการเคลื่อนย้ายทหารเข้าหน่วย การปรับสภาพและคัดกรองเฝ้าระวังควบคุมโรคใน 14 วันแรก โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงสูง รวมทั้งมาตราการควบคุมโรคระหว่างการฝึกและการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หากพบการติดเชื้อให้คัดแยกและส่งเข้ารับการรักษาที่ รพ.สนาม ทันที พร้อมกันนี้ขอให้ประสานกระทรวงสาธารณสุขขอรับการสนับสนุนวัคซีนฉีดให้กับทหารที่เข้าประจำการใหม่ทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อมิให้เกิดปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในหน่วยทหาร
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า พล.อ.ชัยชาญยังได้ย้ำทุกเหล่าทัพที่จัดกำลังพลเข้าไปเข้าไปควบคุมแคมป์คนงาน หรือพื้นที่ชุมชนแพร่ระบาด ขอให้สร้างความเข้าใจกับแรงงานและเจ้าของสถานประกอบการถึงเหตุผลความจำเป็นในมาตรากรชั่วคราวที่กำหนด พร้อมทั้งเร่งรวบรวมความต้องการวัคซีนเสนอกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเร่งฉีดให้กับกำลังพลที่ลงปฏิบัติงานในพื้นที่โดยเร็ว และขอให้พิจารณาจัดตู้ปันสุขในพื้นที่รอบหน่วยทหารและจัดรถครัวสนามสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ควบคุมที่มีการแพร่ระบาดโดยทั่วถึง เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด ในสถานการณ์วิกฤตของการแพร่ระบาดของโรคที่กำลังเกิดขึ้น