No data was found

“ไข้หวัดใหญ่” ไข้หวัดธรรมดา หรือ ไข้เลือดออก เช็คอาการ 3 โรค

อาการ, ไข้หวัดธรรมดา, ไข้ต่ำ, ไม่มีไข้, คัดจมูก, น้ำมูกไหล, หายใจไม่ออก, ไอ, จาม, ไข้หวัดใหญ่, มีไข้สูง, เบื่ออาหาร, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยตัว, คลื่นไส้, อาเจียน, ไข้เลือดออก, ปวดกระดูก, หน้าแดง, อ่อนเพลีย, มีจุดเลือดออก

กดติดตาม TOP NEWS

"ไข้หวัดใหญ่" ไข้หวัดธรรมดา หรือ ไข้เลือดออก รู้ได้อย่างไร มาทำความเข้าใจอาการ ปวดศีรษะ อาเจียน เบื่ออาหาร รวมถึงวิธีการดูแลเบื้องต้นของแต่ละโรค ที่นี่

“ไข้หวัดใหญ่” ไข้หวัดธรรมดา หรือ ไข้เลือดออก เราจะรู้ได้อย่างไร อาการนอกจาก มีไข้ แล้ว ปวดศีรษะ อาเจียน เบื่ออาหาร ล่ะ เช็คให้ชัวร์แต่ละโรคต่างกันอย่างไร TOP News เป็นห่วง ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ

 

 

 

 

อาการ, ไข้หวัดธรรมดา, ไข้ต่ำ, ไม่มีไข้, คัดจมูก, น้ำมูกไหล, หายใจไม่ออก, ไอ, จาม, ไข้หวัดใหญ่, มีไข้สูง, เบื่ออาหาร, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยตัว, คลื่นไส้, อาเจียน, ไข้เลือดออก, ปวดกระดูก, หน้าแดง, อ่อนเพลีย, มีจุดเลือดออก

 

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

 

จะแยก ไข้หวัดใหญ่ และ ไข้เลือดออก จาก ไข้หวัดธรรมดา อย่างไร

 

สาเหตุของไข้หวัด

 

  • เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สามารถติดต่อกันทาง น้ำมูก น้ำลาย ไอ จาม โดยเฉพาะการอยู่ในที่แออัด เช่น สถานเลี้ยงเด็ก โรงเรียน ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ในเด็กเล็กและคนสูงอายุ อาจติดไข้หวัดได้ง่าย และมีอาการรุนแรงกว่าในช่วงอายุอื่น ๆ

 

อาการของไข้หวัด

 

  • อาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีก็ได้ มีอาการ ไอ จาม น้ำมูกไหล ส่วนมากช่วงแรกน้ำมูกใส ถ้าเป็นหลายวันสีน้ำมูกจะข้นขึ้น นอกจากนี้ จะมีอาการ คัดจมูก แน่นจมูก หายใจไม่ออก ในเด็กเล็กอาจจะมีอาการกวน หรืองอแงมากกว่าปกติ

 

“โรคไข้หวัดธรรมดา มักจะไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้ มีอาการน้ำมูก ไอ จาม ชัดเจน ส่วน โรคไข้หวัดใหญ่ มักจะไข้สูง ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ผู้ป่วยจะค่อนข้างซม ขณะที่ เด็กเป็นไข้หวัดธรรมดาอาจงอแงบ้าง แต่ยังเล่นได้ ส่วนไข้เลือดออกนั้นจะมีไข้สูงลอย ทานยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ค่อยลง มีอาการหน้าแดง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกระดูก อาจมีปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มักมีจุดเลือดออกหลังจากมีไข้ 3 – 4 วัน มักจะไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ดังนั้น กรณีที่มีไข้สูงลอยเกินกว่า 2 – 3 วัน และอาการดังกล่าวไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ ทั้งนี้ โรคไข้หวัดโดยทั่วไป อาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เอง”

 

วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดมีหรือไม่

 

  • เนื่องจากโรคไข้หวัดสามารถเกิดจากไวรัสหลายชนิด การทำวัคซีนเป็นไปได้ยาก จึงยังไม่มีวัคซีนเฉพาะ แต่วัคซีนที่ควรฉีดคือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ฉีดได้ทุกช่วงอายุ และควรฉีดทุกปี โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุหรือผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ

 

 

 

 

อาการ, ไข้หวัดธรรมดา, ไข้ต่ำ, ไม่มีไข้, คัดจมูก, น้ำมูกไหล, หายใจไม่ออก, ไอ, จาม, ไข้หวัดใหญ่, มีไข้สูง, เบื่ออาหาร, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยตัว, คลื่นไส้, อาเจียน, ไข้เลือดออก, ปวดกระดูก, หน้าแดง, อ่อนเพลีย, มีจุดเลือดออก

 

 

 

 

 

อาการของโรคไข้เลือดออก

 

  • จะแสดงหลังจากได้รับเชื้อจากยุงประมาณ 5 – 8 วัน (ระยะฟักตัว) ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการของโรคโดยมีความรุนแรงแตกต่างกัน ตั้งแต่มีอาการคล้ายเป็นไข้ไปจนถึงมีอาการรุนแรงมากจนถึงช็อกและอาจเสียชีวิตได้ โรคไข้เลือดออกมีอาการสำคัญที่เป็นรูปแบบค่อนข้างเฉพาะ ได้แก่

 

  1. อาการไข้สูง 2 – 7 วัน ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกทุกรายจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ไปจนถึง 40 – 41 องศาเซลเซียส ซึ่งบางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชัก
    เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  2. อาการเลือดออก ที่พบบ่อยที่สุดคือที่ผิวหนัง โดยจะตรวจพบว่าเส้นเลือดเปราะ แตกง่าย ร่วมกับมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ กระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน ในรายที่รุนแรงอาจมีการอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (melena) อาการเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนใหญ่จะพบร่วมกับภาวะช็อก
  3. ตับโต กดแล้วเจ็บ ส่วนใหญ่จะคลำพบตับโตได้ประมาณวันที่ 3 – 4 นับแต่เริ่มป่วย ตับจะนุ่มและกดเจ็บ
  4. ภาวะการไหลเวียนเลือดล้มเหลว ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีอาการรุนแรง โดยเกิดภาวะการไหลเวียนเลือดล้มเหลวหรือภาวะช็อก เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอดหรือช่องท้องมาก เกิด hypovolemic shock ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว เวลาที่เกิดภาวะช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค หรือวันที่ 8 ของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการแย่ลง เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบา – เร็ว และความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง

 

การรักษาโรคไข้เลือดออก

 

  • ขณะนี้ ยังไม่มียาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไข้เลือดออก การรักษาโรคนี้เป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง ซึ่งจะได้ผลดีถ้าได้รับการวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก แพทย์ผู้รักษาจะต้องเข้าใจธรรมชาติของโรคและให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด จะต้องมีการดูแลที่ดีตลอดระยะเวลาวิกฤติ ประมาณ 24 – 48 ชั่วโมงที่มีการรั่วของพลาสมา โดยมีหลักปฏิบัติดังนี้

 

  1. ในระยะไข้สูง บางรายอาจมีการชักได้ถ้าไข้สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีประวัติเคยชัก หรือในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน จำเป็นต้องให้ยาลดไข้ ควรใช้ยาพาราเซตามอล ห้ามใช้ยาพวกแอสไพริน เพราะจะทำให้เกร็ดเลือดเสียการทำงาน และระคายกระเพาะอาหารทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น และควรใช้การเช็ดตัวเพื่อลดไข้ร่วมด้วย
  2. ให้ผู้ป่วยได้น้ำชดเชย เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ทำให้ขาดน้ำ ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำผลไม้หรือสารละลายผงน้ำตาลเกลือแร่ (โอ อาร์ เอส) ในรายที่อาเจียนควรให้ดื่มครั้งละน้อย ๆ และดื่มบ่อย ๆ
  3. ติดตามดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะช็อกได้ทันเวลา
  4. เมื่อผู้ป่วยไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่ให้การรักษาได้ แพทย์จะตรวจเลือดดูปริมาณเกร็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือด และอาจนัดมาตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเกร็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ ๆ เพราะถ้าปริมาณเกร็ดเลือดเริ่มลดลงและความเข้มข้นเลือดเริ่มสูงขึ้น เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าน้ำเลือดรั่วออกจากเส้นเลือดและอาจช็อกได้ จำเป็นต้องให้สารน้ำชดเชย

 

 

 

 

อาการ, ไข้หวัดธรรมดา, ไข้ต่ำ, ไม่มีไข้, คัดจมูก, น้ำมูกไหล, หายใจไม่ออก, ไอ, จาม, ไข้หวัดใหญ่, มีไข้สูง, เบื่ออาหาร, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยตัว, คลื่นไส้, อาเจียน, ไข้เลือดออก, ปวดกระดูก, หน้าแดง, อ่อนเพลีย, มีจุดเลือดออก

 

 

 

 

เช็คให้ชัวร์อาการต่างกันอย่างไร

 

ไข้หวัดธรรมดา

 

  • ไข้ต่ำ หรือไม่มีไข้
  • คัดจมูก น้ำมูกไหล หายใจไม่ออก
  • ไอ
  • จาม
  • เด็กเล็กจะกวน หรืองอแงมากกว่าปกติ

 

ไข้หวัดใหญ่

 

  • มีไข้สูง
  • เบื่ออาหาร
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดเมื่อยตัว
  • ผู้ป่วยค่อนข้างซม
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน

 

ไข้เลือดออก

 

  • มีไข้สูงลอย
  • ทานยาลดไข้ไม่ค่อยลดลง
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดกระดูก
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • หน้าแดง
  • อ่อนเพลีย
  • มีจุดเลือดออก หลังมีไข้ 3 – 4 วัน

 

 

 

 

ข้อมูล : Siriraj Piyamaharajkarun Hospital

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

จีนเตือนภัย ‘พายุทราย’ ระดับสีเหลือง
อัปเดตล่าสุด อาการ “บุ้ง ทะลุวัง” อดอาหารจนเห็นกระดูกชัดมาก
"นายกฯ" มอบนโยบาย "กรมศุลกากร" ลั่นปัญหาทุจริตเยอะรบ.รับไม่ได้ กำชับวิ่งเต้นในกรมศุลฯต้องไม่มีเกิดขึ้น
อาหารเสริมข้าวยีสต์แดงบริษัทญี่ปุ่น ดับแล้ว 4 ราย
จังหวัดศรีสะเกษ จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” “ผ้าลายชบาปัตตานี” และเครื่องหมายรับรองสินค้าแฟชั่นและหัตถกรรมพระราชทาน
"จนท.ความมั่นคง" จว.ยะลา คุมเข้ม 10 วันสุดท้าย "เดือนรอมฎอน" ป้องกันเหตุการณ์ไม่สงบ
เพจดังแฉจัดหนัก เบื้องหลัง “พิธา” คว้ารางวัลสื่อออนไลน์ ด้อมส้มนิ้วแทบล็อค
"ธนดล" เดือด ยื่นป.ป.ช. สอบพฤติกรรมการปฏิบัติงาน "สว.พลเดช" ขัด รธน.หรือไม่
วืดครั้งที่ 7 ศาลยกคำร้องขอประกันตัว "ตะวัน-แฟรงค์" ชี้ได้แจ้งเหตุผลไว้ชัดเจนแล้ว
รัสเซีย ปูตินลั่นไม่คิดโจมตีประเทศสมาชิกนาโต

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น