แม้จะมีปัญหารุมเร้ารัฐบาลสารพัดเรื่องหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงนี้ทั้งภายในและภายนอก ทั้งเรื่องสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนก็ยังยืดเยื้อไม่จบสิ้นจนตอนนี้มีผลกระทบลามไปทั่วโลกแล้ว ที่ส่งผลกระทบแบบตรงๆเต็มๆ คือการส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นแบบกู่ไม่กลับ ขณะที่สถานการ์เรื่องของโรคระบาดโควิด-19 ในต่างแดนหลายประเทศดีขึ้น แต่ในเมืองไทยก็ยังทรงๆทรุดๆ คนป่วยเฉลี่ยวันละ 2 หมื่นกว่าคน เสียชีวิตวันละร้อยกว่าคน เรียกว่ายังดีแต่ดีไม่สุดจุดนี้เลยทำให้แผนการเปิดประเทศต้องล่าช้าออกไปเป็นวันที่ 1 ก.ค. 2565 ขณะที่ภายในก็ยังมีเรื่องชวนปวดหัวอีกมาก ทั้งเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ค่าครองชีพพุ่ง น้ำมันแพง ข้าวของปรับราคาสูงขึ้น ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันไปหมดกับสถานการณ์ในต่างประเทศ
ขณะที่ปัญหาการเมืองตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่การนับถอยหลังเปิดสภา 22 พ.ค.นี้ ที่รัฐบาลต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเผชิญกับหลายเรื่อง ทั้งการพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่จะใช้ในปีหน้า คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาวาระแรกในวันที่ 1-2 มิ.ย. ขณะที่พรรคฝ่ายค้านก็กำลังเตรียมข้อมูลจ่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุุคคล ตามรัฐธรรมนูญ ม.151 ที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกวันไหนเวลาใดและจะมีใครบ้างที่โดนหางเลข เสร็จจากนั้นยังมีเรื่องกฎหมายลูก 2 ฉบับ คือพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ยังคาราคาซังอยู่ยังไม่ไปถึงไหน นอกจากนี้ยังมีประเด็นร้อนชี้ชะตาอนาคตนายกฯ 8 ปี ที่จะครบกำหนดในวันที่ 23 ส.ค.นี้อีก ขณะที่ปลายปีราวเดือนพ.ย.ไทยยังต้องเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมยักษ์ใหญ่ระดับโลกคือประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกในประเทศไทย
นับจากนี้จึงมีประเด็นร้อนมีเรื่องอภิมหาใหญ่รอให้รัฐบาลดำเนินการ รอให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จัดการสะสางอีกมาก จึงไม่แปลกที่การประชุมครม.เมื่อวานนี้ 19 เม.ย. นายกฯจึงใช้โอกาสแรกหลังหยุดยาวจากสงกรานต์เคลียร์ใจกับครม. ส่งสัญญาณชัดๆกันไปเลยว่ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ยาว บริหารประเทศจนครบเทอมครบวาระ 4 ปี ลากยาวกันไปถึง 23 มี.ค.2566 กันเลยทีเดียว ก่อนจะฝากรัฐมนตรีทุกคนเร่งสร้างผลงาน อย่าทุจริต พร้อมเดินหน้าจัดเวทีรับฟังทุกสุข์ของชาวบ้านเพื่อนำมาแก้ไข ปิดท้ายอวยพรรัฐมนตรีทุกพรรคแกนนำรัฐบาลทุกคนที่มาประชุม ” ขอให้ทุกคน ทุกกระทรวงช่วยกันประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาล ให้อยู่ด้วยกัน ทำงานให้รัฐบาล ขอให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย” นายกฯระบุ ขณะที่ฝ่าย “เนติบริกรเสื้อคลุมลายพราง” อย่าง วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ก็เลคเชอร์วาระงานสำคัญๆให้นายกฯและครม.รับทราบ โดยเฉพาะพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ที่ รัฐบาลต้องเตรียมการจัดงานให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นที่สมพระเกียรติ ไม่ว่าจะเป็น การจัดงานพระราชสมภพ 90 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 ส.ค.นี้ การจัดงานเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปี วันประสูติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่จะครบรอบในวันที่ 6 พ.ค. 2566 หรือปีหน้า ซึ่งทางยูเนสโกจะประกาศยกย่องให้พระองค์ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก เป็นต้น
มองกันตามเนื้องานและปฏิทินรัฐบาลที่แลเห็นกันอยู่นี้ ชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์จะต้องขี่หลังเสือนั่งเป็นผู้นำประเทศไปอีกยาวๆ เรื่องยุบสภาเร็วๆนี้หรือกลางปีแบบที่ “โทนี่ ณ ดูไบ ” ทักษิณ ชินวัตร เคยปูดไว้ในคลับเฮ้าส์ คงเป็นแค่ฝันลมๆแล้งๆ อ่านใจพล.อ.ประยุทธ์ปล่อยของประกาศอยู่ยาวเที่ยวนี้ ทำเอาพรรคฝ่ายค้าน ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคพวกคนแดนไกล อกแตกตายกันเป็นทิวแถว เพราะไม่คิดว่าลุงตู่จะมาได้ไกลขนาดนี้ อยู่ยาวจนรากงอกไม่พอ อนาคตอันใกล้อาจได้เป็นนายกฯต่ออีกสมัย เป็นผู้นำแฮททริค 3 สมัย จากนี้เวลาที่เหลืออยู่ก็คงต้องจัดวางกฎ กติกา การเลือกตั้งต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อน กฎหมายลูกจะเอายังไง คิดคะแนนปาร์ตี้ลิสต์จะเอาแบบไหน แต่ที่ต้องลุ้นกันสุดๆจริงๆ ก็ต้องตอนตีความการนับอายุการเป็นนายกฯไม่เกิน 8 ปี ซึ่งจะครบในวันที่ 23 ส.ค.นี้ และถููกมองว่าจะเป็นประเด็นร้อนแรงให้ฝ่ายค้านฝ่ายตรงข้าม หยิบมาล้มมาโจมตีพล.อ.ประยุทธ์เนื่องจากเหลือแค่เรื่องนี้ปมเดียวเท่านั้นที่จะทำให้บิ๊กตู่ เกิด “อุบัติเหตุทางการเมือง” ได้ หากผ่านปมร้อน 8 ปีเรื่องนี้ไปได้ เชื่อแน่ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะกลายร่างเป็น “พยัคฆ์ติดปีก” บริหารประเทศแบบติดลมบน และคงเป็นเจ้าภาพต้อนรับสุดยอดผู้นำโลกที่จะเดินทางมาประชุมเอเปกที่กรุงเทพฯ ตอนเดือนพ.ย.ปลายปีนี้ได้อย่างสบายใจ
เสร็จจากนั้นก็คงมาโฟกัสเรื่องวัน ว. เวลา น.ในการประกาศยุบสภาได้แน่นอน ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเลือกยุบสภาตอนไหน จัดการเลือกตั้งเมื่อไหร่ แต่เชื่อว่าฤกษ์ดีวันมหามงคลที่จะจัดการเลือกตั้งทั่วไป น่าจะเลยไปเป็นต้นปีหน้า 2566 อย่างแน่นอน แต่จะเป็นวันอาทิตย์ไหน เดือนใด ก็ต้องอยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์และทีมงานจะพิจารณา อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเลือกทิ้งไพ่ยุบสภาแน่นอน เพื่อเปิดโอกาสให้ส.ส.พรรคต่างๆได้ย้ายค่ายย้ายพรรค และคงไม่บริหารประเทศไปจนครบเทอมจนทำให้เกิดเดดล็อคส.ส.พรรคต่างๆย้ายพรรคกันไม่ได้ ด้วยเหตุที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 97 (3) เขียนไว้ชัดเจนว่า บุคคลผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติ ” เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นเวลา ติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภาระยะเวลาเก้าสิบวันดังกล่าวให้ลดลงเหลือสามสิบวัน” เมื่อเป็นอย่างนี้ก็คงต้องชิงยุบสภาก่อน เพื่อเปิดตลาดนัดส.ส.ให้โอกาสผู้แทนได้ตัดสินใจย้ายพรรค จะอยู่ข้างไหนจะไปกับใคร อยากเป็นรัฐบาลหรืออยากเป็นฝ่ายค้าน เลือกตั้งเที่ยวนี้ถือว่าพล.อ.ประยุทธ์ได้เปรียบเพราะมีอำนาจ แถมเป็นคนกำหนดกติกาอยู่ในมือจะเอาแบบไหนจะเลือกตั้งกันอย่างไร สุดท้ายปลายทางก็ต้องลุ้นว่าคนไทยจะให้โอกาสบิ๊กตู่สร้างประวัติศาสตร์กลับมาเป็นนายกฯสมัย 3 อีกหรือไม่ อีกไม่นานคงได้รู้กัน
////////////////////////