หลังปล่อยให้อึมครึมอยู่นานว่าจะเอายังไงกับเรื่องภายในพรรคพลังประชารัฐ ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้เกิดปัญหาสารพัดวุ่นวายขายปลาช่อนมาตลอด สำหรับพรรคแกนนำรัฐบาลเพราะเกิดมรสุมเกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซนเตอร์ พอยท์ เทอมินอล 21 อ.เมือง จ. นครราชสีมา ก็ได้ฤกษ์ประชุมใหญ่สามัญของพรรคพลังประชารัฐ โดยมี “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รงอนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นประธาน เพื่อสะสางปัญหาที่คั่งค้างต่างๆก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกับการคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง หลังเกิดกรณีพรรคพลังประชารัฐขับกลุ่ม 21 ส.ส.ก๊วน “ผู้กองแป้ง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากพรรคงานนี้เลยต้องมีการเขย่าโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคกันใหม่ และทุกอย่างก็เป็นไปตามคาดเรียบร้อยโรงเรียนบิ๊กป้อม เพราะตำแหน่งสำคัญๆของพรรค มีการวางคนของบิ๊กป้อมเข้าไปนั่งกุมบังเหียนเบ็ดเสร็จ โดยตำแหน่งแม่บ้านพรรคก็เป็นไปตามคาด เมื่อมีการเสนอชื่อ สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่เรียบร้อยตามระเบียบ โดยไม่มีการเสนอชื่อบุคคลอื่นใดๆเข้ามาแข่งเพิ่มเติม ขณะที่ตำแหน่งนายทะเบียนพรรคก็ตกเป็นของสุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ
แต่ที่ฮือฮาและกลายเป็นไฮไลต์ของประชุมใหญ่ในรอบนี้ นอกเหนือจากที่บิ๊กป้อมประกาศนำพรรคเป็นสถาบันการเมือง หวังกวาด 150 ที่นั่งในการเลือกตั้งคราวหน้า ก็ต้องโฟกัสไปที่การตั้งกรรมการบริหารพรรคใหม่ 4 คน 2 คนแรกนั้นเป็นที่รู้จักกันดีเพราะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐมาตั้งแต่ต้น คือ พรชัย ตระกูลวรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กับ วิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ที่มาใหม่แล้วผงาดขึ้นชั้นเป็นกรรมการบริหารพรรคเลย ก็ล้วนเป็น “ใบสั่ง” และ “เด็กสร้าง” ของบิ๊กป้อมล้วนๆ ประกอบด้วย “บิ๊กอี๊ด” พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร อดีตแม่ทัพภาค 2 กับ “บิ๊กโย” พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ อนุกรรมการฝ่ายหารายได้ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด กล่าวคือนายพลทั้ง 2 คนล้วนเป็นนายยทหารที่ใกล้ชิดและไว้วางใจเป็นอย่างมาก สำพรับพล.อ.ธัญญาอดีตเคยเป็นแม่ทัพภาค 2 คุมอีสาน เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 21(ตท.21) กับ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผบ.ทบ. ส่วนพล.อ.กฤษณ์โยธินเป็นเตรียมทหาร 22 (ตท.22) ถือเป็นลูกหม้ออีกคนที่ทำงานกับบิ๊กป้อมมานานมาก เพราะเป็นนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์เหมือนกัน โดยเคยรับราชการที่ ร.2 พัน 2 รอ. และ พล.ร.2 ปัจจุบันอาจเรียกว่าเป็นทีมงานฝ่ายเสธฯคนสนิทที่ใกล้ชิดบิ๊กป้อมเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่ทั้งคู่จะได้เข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรค ที่พล.อ.ประวิตรตอบคำถามการดึงนายพลทั้ง 2 คนมาเป็นแกนนำพรรคเพราะต้องการให้เข้ามาช่วยงานธุรการของพรรค โดยมีข่าววางตัวพล.อ.ธัญญาที่เคยเป็นอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ให้มาช่วยคุมภาคอีสานคอยผนึกกำลังกับ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. ที่ดูแลพื้นที่อีสานถึงขนาดตั้งให้เป็นคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค ในสัดส่วนกรรมการบริหารพรรค เคียงข้าง1.สันติ เลขาธิการพรรคคนใหม่ , “อ.แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค , “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และ รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช ฯลฯ ส่วนพล.อ.กฤษณ์โยธินที่ดึงเข้ามาเพราะบิ๊กป้อมต้องการให้คอยมาเป็นหูเป็นตาในพรรคเนื่องจากไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามการแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรครอบนี้ ยังไร้เงา “เสี่ยโต” อภิชัย เตชะอุบล นักธุรกิจพันล้าน อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งย้ายขั้วสลับค่ายมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ หนำซ้ำได้รับบทผู้อำนวยการเลือกตั้งกรุงเทพฯรับผิดชอบการเลือกตั้งส.ก.ของพรรคในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 อาจเป็นเพราะเพิ่งมาอยู่ใหม่ผลงานยังไม่เป็นที่ประจักษ์รอบนี้เลยต้องร้องเพลงรอไปก่อน รวมถึงไม่มีชื่อของ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯซึ่งสวมหมวกที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐด้วย ทั้งๆที่หลายคนลุ้นว่าเที่ยวนี้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อาจรุกคืบส่งพีระพันธุ์เข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรค อย่างน้อยการมี “สายตรงตึกไทยคู่ฟ้า” เข้ามาเป็นหูเป็นตาในพรรคบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องดีกว่าไม่มีใครเลย แต่ไปๆมาๆ เป้าหมายที่พล.อ.ประยุทธ์อุตส่าห์เข็นออกปากฝากมาทำงานในพรรคระดับอดีตรมว.ยุติธรรมอย่างพีระพันธุ์ก็ยังถูกลอยแพ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางพรรคพลังประชารัฐต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก 4 ตุลาคม 2564 พีระพันธุ์สมัครเป็นสมาชิกพรรค รุ่งขึ้น 5 ตุลาคม พล.อ.ประวิตรตั้งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกข่าวใหญ่โตว่าจะให้มาดูการปรับปรุงโครงสร้างพรรคมาช่วยขันน็อตการทำงานของพรรคในด้านต่างๆ
” เรามาดูเรื่องหลักการทำงาน ไม่ใช่โครงสร้างบริหาร แต่เป็นโครงสร้างการทำงานและศึกษาการแก้ปัญหาของประเทศและประชนในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านกฎหมาย ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายของพรรค ขณะเดียวกันก็ต้องมีโครงสร้างในการแก้ปัญหาหรือดูแลพื้นที่และประชาชน ซึ่งจะเป็นรูปแบบและแนวทางในการทำงานทางการเมืองต่อไป ….เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์หรือปรับปรุงแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างเป็นระบบในเชิงการเมือง …. ที่ผ่านมายังไม่มีการทำงานในลักษณะนี้ ยังไม่เห็นโครงสร้างของการทำงานกับประชาชนในลักษณะเชิงของพรรคที่จะสามารถกำหนดทิศทางต่าง ๆ ได้ ที่เห็นส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างการบริหารพรรค ยังไม่มีโครงสร้างการทำงานกับประชาชน กับรัฐบาล ถ้าไม่ทำก็จะไม่ใช่รูปแบบการทำงานของพรรคการเมือง” พีระพันธุ์ให้สัมภาษณ์ตีปี๊บตอนแรกๆ ที่ถูกดึงเข้ามาทำงาน
ทั้งๆที่เป็นคนมีฝีไม้ลายมือ เป็นมือทำงานข้างกายพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนหน้านี้ก็รับบทเป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 สภาผู้แทนราษฎร เป็นคณะผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และถูกนายกฯวางตัวให้เข้ามาเป็นคนในเพื่อสะสางปัญหาต่างๆนาๆในพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็เหมือนกรณีของ “แรมโบ้” ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ ที่สร.1 ส่งมาให้บิ๊กป้อมใช้แต่พี่ใหญ่ไม่เอา ที่สุดก็ต้องไขก๊อกลาออกไปตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติทำการเมืองของตัวเอง รอบนี้พีระพันธุ์ก็กำลังตกที่นั่งเดียวกัน ล่าสุดเจ้าตัวได้ทำหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และตำแหน่งที่ปรึกษาพล.อ. ประวิตรแล้ว โดยเปิดเผยกับสื่อว่า “เข้ามาเพื่อทำโครงสร้างพรรคให้เกิดความเข้มแข็ง ขณะนี้ได้จัดทำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงหมดหน้าที่และตัดสินใจลาออก” อันนั้นเป็นเหตุผลเบื้องหน้า แต่เบื้องหลังลึกๆจริงๆพีระพันธุ์ก็เหมือนนักรบที่ไม่เคยได้ชักดาบ เพราะเจ้านายหรือแม่ทัพไม่เคยใช้งานไม่เคยไว้วางใจให้ออกรบเลย อยู่พลังประชารัฐต่อไปก็ไลฟ์บอยเพราะเป็นนักรบที่ไม่เคยถูกใช้งาน รอบนี้ชัดเจนว่าบิ๊กป้อมจัดวางคนของตัวเองคุมพรรคพลังประชารัฐแบบเบ็ดเสร็จ ปิดประตูตายไม่ให้พล.อ.ประยุทธ์ รวมไปถึงน้องกลางอย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มท.1 เข้ามาล้วงลูกยุ่มย่ามในพรรคได้อีก เหยียบเบรกชนิดหัวทิ่มขวางลำไม่ให้ 2 ป.เข้ามาแตะพรรค การเมืองหมากนี้มองยังไงพล.อ.ประวิตรก็มีแต้มต่อ ถือไพ่เหนือพี่น้อง 2 ป. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.อนุพงษ์ต่อไป อย่างน้อยทั้งบิ๊กตู่และบิ๊กป๊อกก็ต้องยืมจมูกพรรคบิ๊กป้อมหายใจ เพราะไปต่อด้วยตัวเองไม่ได้ไม่มีพรรคในสังกัดไม่มีเรือให้นั่ง อนาคตยังไงพล.อ.ประวิตรก็ยังขี่คอ สร.1กับ มท.1 ได้อีกนาน ยกเว้นพล.อ.ประยุทธ์จะปลดแอกไปอยู่พรรคใหม่ให้รู้แล้วรู้รอด การเมืองในวง 3 ป. ถึงจะรักกันจนวันตาย แต่ก็หักเหลี่ยมเฉือนคมกันตลอดเวลา
///////////////