เพจเฟซบุ๊ก ชมรมแพทย์ชนบทโพสต์ เนื้อหาในหัวข้อ “ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 13 : 16-06-64 โรงงานวัคซีนแอสตราไทยแลนด์ ความจริงบางประการที่สังคมไทยควรรู้” โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า สยามไบโอไซเอนซ์มียอดการสั่งวัคซีนมาแล้ว 8 ประเทศ กำลังการผลิตที่ตั้งใจไว้คือ 15 ล้านโดสต่อเดือน ซึ่งยังผลิตได้ไม่ถึงเป้า ตัวเลขที่ ศบค.แถลง คือ ตั้งแต่กรกฎาคม ส่งไทยเดือนละ 10 ล้านโดส ที่เหลือนั้นก็แปลว่าส่งออก แต่ในเดือนมิถุนายนนี้ ไต้หวัน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ได้โวยออกสื่อมาแล้วว่าไทยเบี้ยวการส่งวัคซีนให้เขา หากกำลังการผลิตเต็มที่ที่ 15 ล้านโดสต่อเดือน การส่งออกเพียงเดือนละ 5 ล้านโดสก็น่าจะไม่พอ เพราะแต่ละประเทศก็สั่งกันเป็นหลักล้านโดสต่อเดือนทั้งสิ้น ความจริงเป็นอย่างไรคงมีไม่กี่คนที่รู้ เพราะยากที่ใครได้เห็นสัญญาการจัดซื้อวัคซีน
มีคำถามว่าแล้วรัฐบาลจะสั่งห้ามส่งออกวัคซีนแอสตราไม่ได้หรือ เพราะเราแทงม้าตัวเดียวจึงจำเป็นมาก อินเดียก็ทำเช่นนี้ ในสหภาพยุโรปก็สั่งไม่ให้ส่งออกนอกสหภาพยุโรป คำตอบก็ง่ายและชัดว่า “อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นทำได้ แต่เราคงทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะโรงงานสยามไบโอไซเอนซ์นั้น ไม่สามารถผลิตหัวเชื้อไวรัสและเซลล์เพาะเลี้ยงได้เอง ต่างจากอินเดียหรืออียูที่เขาผลิตหัวเชื้อเองได้ หากเราไม่ให้ส่งออก บริษัทแม่ก็อาจไม่ส่งหัวเชื้อมาให้ เราก็ผลิตต่อไม่ได้
สยามไบโอไซเอนซ์เป็นโรงงานใหม่ ไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน ในขณะที่โรงงานแอสตราที่อินเดียและเกาหลีใต้เป็นโรงงานวัคซีนเดิมมาก่อน ทำให้เขาสามารถผลิตวัคซีนได้ก่อนและได้ตามเป้า ส่วนของบ้านเรา การผลิตวัคซีนช่วงแรกๆ ก็ย่อมมีอุปสรรค ต้องใช้เวลา ต้องปรับแก้ให้เข้ามาตรฐาน ยังไม่คล่อง จึงผลิตได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ผู้ใหญ่เขาบอกว่า โรงงานใหม่เอี่ยมผลิตออกมาได้เท่านี้ จริงๆ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว เมื่อสถานการณ์ของแอสตราไทยแลนด์เป็นเช่นนี้ เดือนกรกฎา สิงหา ก็น่าจะยังต้องลุ้นกับภาวะการมีวัคซีนไม่พอฉีดต่อไป รัฐบาลก็รู้ แต่พูดมากคงไม่ได้ เลยต้องเร่งเจรจากับซิโนแวค ซิโนฟาร์ม และไฟเซอร์ หวังจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา