พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ในฐานะ ผู้อำนวยการ ศปก.ศบค. กล่าวถึงกรณีราชกิจจานุเบกษา ประกาศ 6 ข้อกำหนดบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 เพื่อเร่งแผนฉีดวัคซีนให้ประชาชน 50 ล้านคน ตาม “วาระแห่งชาติ” พร้อมปลดล็อกให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถใช้งบฯ จัดซื้อวัคซีนฉีดให้ประชาชนในพื้นที่ ว่า เรื่องนี้ เป็นข้อสั่งการของ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะ ผอ. ศบค. เนื่องจาก ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำข้อเสนอแนะ มาที่ศบค.ให้กำหนดแนวปฏิบัติ ดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีน ศบค. จึงพิจารณาและแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีให้อนุมัติมีผลทันที ซึ่งสามารถจัดซื้อได้กับหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตนำเข้า เนื่องจากประเทศผู้ผลิตจำหนดเงื่อนไขในการจำหน่าย one nation one contact ซึ่งหากจนจะซื้อก็จะต้องมีการจัดสรรแบ่งปริมาณกัน ทำให้มีข้อจำกัดมากขึ้น ดังนั่นในชั้นต้นถึงต้องมีแนวปฏิบัติ โดยในประกาศราชกิจจานุเบกษามีส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือหน่วยงานที่สามารถนำเข้าวัคซีนมาในราชอาณาจักรได้ เช่น กรมควบคุมโรค สถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทย และสถาบันจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับให้เอกชนและโรงพยาบาลเอกชน สามารถจัดซื้อวัคซีนจากหน่วยงาน จากหน่วยงานข้างต้นได้ แต่ไม่สามารถสั่งตรงจากบริษัทผู้ผลิตวัคซีนได้และ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถจัดซื้อวัคซีนเองได้ แต่ต้องดูระเบียบข้อบังคับทางกฎหมาย รวมถึงแผนงานงบประมาณ และแผนวัคซีนของ ศบค.ด้วย เพราะอปท.ต้องใช้งบประมาณ
แผ่นดินเช่นกันจึงต้องใช้งบอย่างคุ้มค่ามากที่สุดและต้องสอดคล้องกับแผนศบค. ที่สำคัญทุกหน่วยงานที่จะซื้อวัคซีน ต้องบูรณาการร่วมกันกับแอปพลิเคชั่น หมอพร้อม เพราะจะป็นแพลตฟอร์มสุดท้ายที่มีข้อมูลประชาชนทั้งไทยและต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้ว
ทั้งนี้พลเอกณัฐพล ระบุว่า ด้วยศักยภาพงบประมาณที่แตกต่าง ของแต่ละอปท.อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ จึงอยากให้ทำหน้าที่แค่สนับสนุนอำนวยความสะดวก จัดประชาขนตามที่ศบค.หรือกระทรวงสาธารณสุข หรือ สธ. ดำเนินการอยู่ ซึ่งหากจะซื้อจะต้องดูกฎหมายแผนงาน ที่ศบค.กำหนดเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงก่อนหน้านี้ศบค.ได้พิจารณากระจายวัคซีนได้เหมาะสมแล้ว โดยพิจารณาจากสัดส่วนประชากร สถานการณ์การแพร่ระบาด ดังนั้นจังหวัดใดที่สถานการณ์การแพร่ระบาดสูงเป็นพื้นที่เสี่ยง จะได้รับฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น และพื้นที่เศรษฐกิจ ดังนั้นแต่ละอปท.ที่จะซื้อจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดจึงนำมาเข้าศบค.อีกครั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้วทุกอปท.จะสามารถซื้อวัคซีนได้เองในทันที
ส่วนเอกชนที่จะจัดซื้อวัคซีน ไม่ต้องผ่านการพิจารณาจากศบค. เพราะหน่วยงานที่นำเข้ามาจะรายงานให้ศบค.รับทราบอยู่แล้ว ซึ่งการจัดซื้อของเอกชนสามารถดำเนินการควบคู่กับการกระจายวัคซีนของศบค. เพราะคนไทยได้ฉีดได้เร็วเท่าใดยิ่งดี ทั้งนี้รัฐบาลได้เตรียมวัคซีนไว้จำนวน 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้คนไทย 50 ล้านคน จาก 67 ล้านคน รวมกับต่างชาติที่อยู่ในไทย 2.6 ล้านคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ยอมรับปัญหาขณะนี้ คือไม่ทราบว่าคนไทย ที่ต้องการจะฉีดวัคซีน มีจำนวนเท่าใด ถ้าหากสั่งวัคซีนเข้ามาในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาในภายหลังไม่มีคนฉีด จึงขอให้สื่อมวลชนเห็นใจศบค.และสธ. ซึ่งหากมองปัญหาในอนาคตก็เป็นเรื่องลำบาก และเมื่อถึงวันนั้นจะถูกสื่อมวลชนตำหนิ และขอให้ทุกคนนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ว่าเมื่อถึงเดือนกันยายนสถานการณ์ดีขึ้น ถ้ามีคนไทยต้องการฉีดเท่าใด จึงมีการเตรียมวัคซีนไว้จำนวนหนึ่งซึ่งคิดว่ามีปริมาณมากพอ
ทั้งนี้พลเอกณัฐพล ระบุว่า วัคซีนที่เอกชนจะจัดซื้อเข้ามามีประมาณ 3-5 ล้านโดส แต่ยังไม่ทราบว่าจะนำเข้ามาในช่วงเวลาใดเนื่องจากเพิ่งประกาศวันนี้ และไม่ทราบว่ามีการติดต่อซื้อกับ ซื้อกับบริษัทผู้ผลิตใด เท่าที่ทราบมีเพียงจากบริษัทชิโนฟาร์มและเมเดอนา
ด้านกระทรวงมหาดไทยส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ทราบถึงการประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เรื่องแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกัน โควิด-19 โดยให้ปฏิบัติตามประกาศของ ศบค. ใน 6 ประเด็น อาทิ ให้กรมควบคุมโรคองค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจในการให้บริการทางการแพทย์หรือสาธารณสุขแก่ประชาชนร่วมมือกันในการดำเนินการจัดหาสั่งหรือนำเข้าวัคซีนป้องกันโรค โควิด-19 อย่างเร่งด่วน โดยหากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจัดหาวัคซีนป้องกัน โควิด-19 มาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ให้จัดหาจากหน่วยงานดังกล่าวและเป็นไปตามกฎหมายกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องรวมถึงหลักเกณฑ์หรือแผนการใช้จ่ายงบประมาณและสอดคล้องกับแนวทางบริหารการวัคซีน เป็นต้น