ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว Top News ถึงปมประเด็นที่มีปัญหาตอบโต้กันในโซเชียล กับ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และกำลังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ต่อข้อถามที่ว่า “จุดเริ่มต้นของการแตกหักกัน เกิดขึ้นจากอะไร” ซึ่งเธอได้ตอบกลับมาว่า ไม่เคยเป็นพวกเดียวกัน เพราะแนวทางความคิดไม่เหมือนกันตั้งแต่ต้น
“ ไม่รู้จะใช้คำว่าแตกหักได้หรือไม่ เพราะเราไม่เคยรวมกันอยู่แล้ว เราไม่เคยเป็นเนื้อเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร แนวทางของบุคคลๆนี้ไม่ได้เป็นแนวทางเดียวกับโบว์มาตั้งแต่ต้น โบว์คิดว่า ความเคลื่อนไหวต้องอยู่บนข้อเท็จจริง และอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติ คนในสังคมไม่ว่าจะเป็นคนเห็นด้วย หรือคนเห็นต่าง นั้นคือจะเป็นแนวทางที่เรายึดถือ และเป็นแนวทางที่เราทำให้สังคมมันคุยกันได้ และถ้าอะไรที่มันหลุดจากแนวทางนี้ ถ้ามันมีการปลุกปั่นความเกลียดชัง ให้ข้อมูลจริงมั่งเท็จมั่ง มีการละเมิดคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเราเองหรือใครๆเยอะแยะมากมายอยู่เป็นนิดเนี๊ย ไม่ใช่แนวทางที่เราเห็นด้วยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าถามว่ามีจุดแตกหักมั้ยกับคนๆนี้ โบว์ว่าไม่มี เพราะเราไม่เคยเดินบนทางเดียวกัน มาตั้งแต่ต้น”
“โบว์” บอกด้วยว่า ที่ผ่านมามีการสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเราเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะข่าวปลอม จนถึงขั้นที่ต้องไปแจ้งความ แต่ถามว่ากลัวเรื่องเสียฐานเสียงมั้ย ต้องบอกว่าเราไม่ใช่นักการเมือง และไม่ใช่ดารา จึงไม่มีความจำเป็นต้องเอาใจใครทั้งสิ้น เราเป็นประชาชนคนธรรมดาคนนึงที่อยู่ตรงนี้ เพื่อพูดสิ่งที่มันจะดีต่อสังคม และในการทำสิ่งนี้มันเลยไม่ต้องแคร์ฐานเสียง
แต่สำหรับคนที่เคยติดตามเรา ต้องยอมรับว่ามี มีคนที่ไม่เข้าใจและมีคนที่ใช้คำว่า “โบว์เปลี่ยนไป” เพียงเพราะว่าเราไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับทุกๆอย่างทุกๆเรื่องที่พวกเค้าเห็นด้วย ซึ่งนี่มันก็เป็นเรื่องปกติของประชาธิปไตย ถ้าเห็นแย้งกัน มันต้องมีถกเถียงกันบ้าง แต่ที่สุดแล้วถ้าเห็นแย้งกันแล้วจะโกรธจะเกลียดกันไปเลย ก็แยกกัน ต่างคนต่างเดิน
“ในส่วนเรื่องการปล่อยข่าวเฟคนิวส์ เกี่ยวกับตัวโบว์ ถูกปล่อยมาจากคนๆเดียว คนนั้นเลยหละค่ะ แล้วก็เข้าไปโพสต์ในกลุ่มที่เค้าสร้างขึ้น รวมถึงบัญชีต่างๆที่เป็นของเค้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นคดีความและโบว์ได้ไปแจ้งความแล้ว ซึ่งเราก็ต้องทำใจว่าเรื่องบางเรื่องกฎหมายก็เอื้อมไม่ถึง เพราะว่าไม่ได้อยู่ในเมืองไทย คือเราก็แจ้งไปตามสิทธิ์ ถามว่าคาดหวังอะไรมั้ย ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ก็ถือว่าต้องจบไปตรงนั้น “
อาจจะมีบางเรื่องที่คุณทำแล้วเราเห็นว่ามันเข้าท่า เราก็อาจจะแสดงออกสนับสนุนก็ได้ แต่ถ้ามีบางเรื่องที่ทำแล้วเรารู้สึกว่าไม่เข้าท่า หรือเป็นผลเสียกับส่วนรวม ไม่เป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวก็อาจจะเป็นภัยสังคม เราก็จะแสดงออกว่าเราไม่เห็นด้วย เพราะอย่างที่บอกว่าไม่ได้ต้องเอาใจใครเราทำเพื่อส่วนรวม สำหรับการที่เราไม่ออกมาเตือน ณ ตอนต้นๆ ยอมรับว่ามีความเกรงใจมีความพยายามจะรักษาหน้าให้ มีความรู้สึกว่าเดี๋ยวเค้าก็คงค่อยๆปรับมั่ง แต่เมื่อถึงจุดนึงเรารู้สึกว่า การไม่เตือนของเรานำไปสู่ผลร้าย เพราะมันดูเหมือนจะเกินเลยไปมากขึ้นเรื่อยๆในบางแอคชั่น ณ วันนึงก็แค่รู้สึกว่าต้องพูดแล้ว