ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมสภาฯ ใช้เวลาพิจารณารายละเอียดและอภิปราย พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 กว่า 4 ชั่วโมง ที่ประชุมได้ลงมติให้ความเห็นชอบ ด้วยคะแนนเสียง 403 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง ทั้งนี้พบว่า ส.ส.พรรคฝ่ายค้านให้ความเห็นชอบด้วย เช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เป็นต้น
โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมสภาฯ ระหว่างการพิจารณา พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ว่า เนื้อหาของพ.ร.ก.เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงิน ซึ่งที่ผ่านมามีแนวทางเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ ในปี2563 ได้ปรับโครงสร้าง ปล่อยสินเชื่อเพิ่มเติม พักชำระหนี้ หรือยืดเวลาพักชำระหนี้ เป็นต้น ส่วนข้อท้วงติงของส.ส. อาทิ การคุ้มครองทุกกลุ่มเป้าหมายจะรับไปพิจารณา ทั้งนี้การปรับรายละเอียดจะมีคณะกรรมการพิจารณาอีกครั้ง โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมและประโยชน์ของประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการอภิปราย ส.ส.พรรคฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลได้อภิปรายพ.ร.ก.ดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่สนับสนุนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยค่าปรับ แต่ท้วงติงว่ารายละเอียดนั้นไม่ครอบคลุมลูกหนี้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะส.ส.ฝ่ายค้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอชมเชยการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ เพราะช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น แต่เป็นความเป็นธรรมที่ล่าช้า เพราะประชาชนรอเกือบ 100 ปี โดยเฉพาะประเด็นคำนวนดอกเบี้ยผิดนัดที่เอารัดเอาเปรียบลูกหนี้อย่างมาก และความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ใครจะรับผิดชอบ ทั้งที่บางลูกหนี้ไม่ได้ตั้งใจผิดนัดชำระหนี้แม้แต่ครั้งเดียว ทำให้สะสมดอกเบี้ยจนกลายเป็นชำระไม่ไหว และกลายเป็นเกิดหนี้เสีย
ด้านนายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายเสนอว่า ให้รัฐบาลออก พ.ร.ก. อีกฉบับเพื่อปรับรายละเอียดให้ครอบคลุมการแก้ปัญหาหนี้ของลูกหนี้ทุกกลุ่ม เพราะจากรายละเอียดของพ.ร.ก.ที่เสนอไม่ครอบคลุมกับลูกหนี้ 4 ประเภท คือกรณีมีสัญญาเงินกู้ แต่ไม่ระบุอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขการชำระคืน, กรณีไม่มีสัญญาา, กรณีละเมิดทางแพ่ง และกรณีมีดอกเบี้ยผิดนัด ทั้งคำนวณจากเงินต้นเฉพาะงวดผิดนัด และการใช้ดุลยพินิจของศาล รวมถึงลูกหนี้รายใหม่ที่คาดหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ลดลงตามพ.ร.ก. เนื่องจากเงื่อนไขของการแก้ไข พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว ยังมีเงื่อนไขที่ผูกติดกับประกาศของกระทรวงการคลัง จำนวน 4 ฉบับ ซึ่งไม่ลดอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน
“ปัจจุบันมีสินเชื่อในระบบทั้งหมด 17 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 12-13 ล้านล้านบาท เป็นของประชาชนและกลุ่มบริษัท ที่เหลือเป็นส่วนของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ทุกกรณีมีสัญญา ดังนั้นผู้ที่จะได้ประโยชน์จากพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว มีเพียง 0.1% เท่านั้น ทั้งนี้ในหลักคิดผมเห็นด้วย แต่ ผิดหวังกับการแก้ปัญหาหนี้ในระบบได้เพียง 0.1% เท่านั้น ดังนั้นตามอำนาจควรออก พ.ร.ก.อีกฉบับเพื่อให้ลูกหนี้ทุกกลุ่มได้ประโยชน์และครอบคลุมกับลูกหนี้รายใหม่” นายเกียรติ กล่าว
ขณะที่นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอเรียกร้องให้ประธานสภาฯ ส่งพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตีความว่าการให้อำนาจกระทรวงการคลังเพื่อขึ้นดอกเบี้ยโดยไม่ผ่านกระทรวงนั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 หรือไม่ ซึ่งกรณีที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกา ปรับเพิ่มดอกเบี้ยได้นั้นประชาชนได้รับผลกระทบและตนมองว่าอาจเป็นการช่วยเหลือนายทุน
“พ.ร.ก.ฉบับนี้ เหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษ เหมือนจะดีแต่ไม่ดี เพราะการให้อำนาจกระทรวงการคลังพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ว่าจะลดลงหรือเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เป็นพระราชกฤษฎีกาทุก ๆ 3 ปีเท่ากับสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ตามอำเภอใจ เช่น ร้อยละ 7 เท่ากับเขียนเช็คเปล่าให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการ ประชาชนมีแต่ได้รับโทษ ทั้งนี้กระบวนการออกกฎหมายของรัฐบาลใช้วิธีปิดปากสภาฯ ไม่สามารถแก้ไขได้” นายธีรัจชัย กล่าว
ส่วนนายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า คำว่าประมวลกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ มากกว่าพระราชบัญญัติ วันนี้ตนตกใจมากที่รัฐบาลได้เสนอพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ที่เรียกว่าพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งฝ่ายบริหารกล้าหาญมากที่ใช้อำนาจที่ควรเป็นอำนาจสภานิติบัญญัติแห่งนี้ โดยอ้างว่าเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่พบความจริงว่าเรื่องที่เสนอเข้ามานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีดำริคิดเรื่องนี้ที่จะปรับปรุงแนวทางในการคิดดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระหนี้และลำดับการตัดชำระหนี้เพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการทางการเงินในระบบการเงินไทย และส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการทางการเงินได้ดำเนินธุรกิจไปอย่างยั่งยืน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยคิดมาตั้งแต่ปี 63 และออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ที่มีผลบังคับใช้กับสถานบันการเงินต่างๆ ทุกแห่ง โดยประกาศดังกล่าวได้กำหนดกำกับดูแลการคิดดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมถึงลูกหนี้รายใหญ่ ในขณะที่ประกาศดังกล่าวบังคับใช้ ธนาคารทุกธนาคารก็ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขสัญญาตามประกาศนั้นกับลูกหนี้ และคณะกรรมการกฤษฎีกาเองก็ได้รับฟังความคิดเห็นสาธารณะในหัวข้อพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แต่ทันใดนั้นรัฐบาลก็ประกาศพ.ร.ก.ฉบับนี้ขึ้นมา ที่ไม่ได้เป็นประโยชน์และไม่เป็นการดำเนินการตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้จึงไม่สอดรับกับประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะพ.ร.ก.นี้ครอบคลุมและผูกพันไปถึงลูกหนี้รายใหญ่ ทำให้สถาบันการเงินต่างๆปวดหัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เพราะต้องปรับปรุงระบบการคิดคำนวนดอกเบี้ย และสัญญาให้สอดรับกฎหมายต่าง ๆ
“เรื่องนี้ทำให้เกิดความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการตีความกฎหมาย รวมทั้งเกิดผลกระทบต่อภาคธุรกิจการลงทุนและการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน หากพ.ร.ก.นี้มีผลบังคับใช้ก็จะเกิดส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและธนาคาร เป็นอุปสรรคในการปรับปรุงระบบ ทำให้ลูกหนี้รายใหญ่มีอำนาจการต่อรองกับสถาบันการเงินสูง ดังนั้นการปรับวิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดช่วยให้ลูกหนี้ขนาดใหญ่มีอำนาจต่อรองมากขึ้น จะทำให้ประเทศเกิดผบกระทบและภาพรวมทางเศรษฐกิจ พ.ร.ก.นี้หลักการดี แต่ไม่ได้เอื้อให้กับนายแบงค์ แต่เอื้อให้กับลูกหนี้ของนายแบงค์ และลูกหนี้รายใหญ่ได้รับผลประโยชน์อย่างมาก จึงขอให้รมว.คลังอย่าส่งที่ไม่ชัดเจนมาให้พวกผมรับรองให้” นายศุภชัย กล่าว