เมื่อวันที่ 22 พ.ค. นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวสำนักข่าว “Top News” ถึงกรณีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความระบุว่าการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 มีการเตรียมการหลายอย่าง โดยหนึ่งในนั้นใช้เหตุผลเรื่องการโยกย้ายตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติว่า เหตุการณ์ในช่วงปี 2556-2557 และมีการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากความผิดพลาดในการบริหารงานของน.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องจำนำข้าวที่ทำความเสียหายมากมาย และมีการทุจริตคอร์รัปชั่น หลังจากนั้นศาลฏีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็มีคำพิพากษา รวมทั้งช่วงนั้นยังมีการพิจารณาผ่านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยที่มีความไม่ชอบมาพากลโดยผ่านกฎหมายช่วงเวลาตี3-ตี4 ทำให้คนทั้งประเทศทนไม่ได้จึงออกมาชุมนุมกันทั่วประเทศเป็นล้านคนต่อเนื่องหลายเดือน เพราะฉะนั้นที่มีการบอกว่ามีการเตรียมเหตุการณ์ตั้งแต่ศาลปกครองไปศาลรัฐธรรมนูญในกรณีย้ายตน รวมถึงคดีจำนำข้าว เพื่อทำรัฐประหาร ตนก็ยังสงสัยว่าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่น่าจะเป็นการเตรียมการ และต้องเข้าใจว่าขณะนั้นสถานการณ์บ้านเมืองไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้แล้ว เพราะรัฐบาลไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ส่วนฝ่ายทหารเองที่ตนทำงานในช่วงนั่นอย่างใกล้ชิดก็มองไม่เห็นความต้องการ หรือความยาก หรือความปรารถนาที่จะเข้ามาควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้น และการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ก็ลงเอยไม่ดี ตนจึงคิดว่าทหารกลัวด้วยซ้ำว่าการที่จะเข้ามาทำรัฐประหารและมารับผิดชอบประเทศ แต่สถานการณ์ตอนนั้นไม่ไหวจริงๆ บ้านเมืองเสียหาย และการบริหารล้มเหลวจนประชาชนไม่ไว้วางใจออกมาชุมนุมมากมาย ซึ่งไม่ใช่ว่าเขามีการเตรียมเหตุการณ์
นายถวิล กล่าวต่อว่า ส่วนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์พาดพิงว่ากรณีของตนเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ เพื่อเป็นเหตุผลในการทำรัฐประหาร ตนคิดว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์คิดมากไป ไม่ใช่คนอื่นเขาเตรียมเรื่องของตนเพื่อทำรัฐประหาร แต่อดีตนายกฯและอดีตคณะรัฐมนตรีเตรียมการเพื่อเอาตำแหน่งให้ญาติพี่น้องหรือไม่ อย่างที่ทราบกันดีว่าที่ย้ายตนเพื่อจะเคลียร์ตำแหน่งเลขาธิการสมช.ให้ว่างลง เพื่อนำพล.ต.อ.วิเชียร์ พจน์โพธิ์ศรี มาเป็นเลขาธิการสมช. และให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ซึ่งเป็นญาติขึ้นเป็นผบ.ตร.แทน โดยไล่เบี้ยมาที่ตนออกจากตำแหน่งด้วยการอ้างว่าเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งสามารถทำได้ แต่ข้าราชการประจำ เราบริหารงานด้วยระบบคุณธรรม ไม่ใช่นึกไม่ชอบใครหรือไม่พอใจใครก็ย้าย แล้วอ้างว่าใช้อำนาจฝ่ายบริหารแบบนั้นไม่ได้ เพราะต้องมีระบบคุณธรรมกำกับอยู่ ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่เป็นฝ่ายการเมืองอาจจะไม่คุ้นเคย เรายึดมั่นระบบคุณธรรมถ้าไม่มีระบบราชการจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งศาลปกครองได้วินิจฉัยแล้วว่าการย้ายตนนั้นไม่เป็นไปตามระบบคุณธรรม ทำให้ตนเสียหายและมีคำพิพากษาว่าให้คืนตำแหน่งกับตน
“น.ส.ยิ่งลักษณ์อาจมีประเด็นว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มีคำสั่งย้ายตั้งหลายคนไม่เห็นเป็นอะไร ส่วนแกย้ายผมคนเดียวกลับพ้นตำแหน่ง ดูแล้วก็ตลกและน่าสงสาร เพราะต้องดูเหตุผลการย้าย ถ้าเป็นไปเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินจะย้ายร้อยคนพันคนก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเป็นเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ความรัก ความชอบ ความชังส่วนตัวย้ายคนเดียวก็มากไป” นายถวิล กล่าว
เมื่อถามว่า 7 ปีที่ผ่านมาน.ส.ยิ่งลักษณ์ยังเคลื่อนไหวจากต่างประเทศต่อเนื่องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ถูกตัดสินคดี นายถวิล กล่าวว่า กรณีการโยกย้ายตน และคดีจำนำข้าวเรื่องไปถึงศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีมาก่อนน.ส.ยิ่งลักษณ์ และกระบวนการคดียังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่อยู่ต่อสู้กับความจริงมากกว่า และแอบหนีไปตามช่องทางธรรมชาติ จะมาบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกลั้นแกล้ง จนต้องเดินทางไปต่างประเทศนั้น ไม่น่าจะถูกต้อง