นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดตัว “สินเชื่อสู้ภัย COVID19” สำหรับผู้มีรายได้ประจำ อาชีพอิสระ เกษตรกรรายย่อยหรือลูกจ้างภาคการเกษตร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยอนุมัติวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท ผ่านการให้สินเชื่อของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในวงเงินธนาคารละ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถช่วยผ่อนคลายภาระทางการเงินในเบื้องต้นให้กับประชาชนได้กว่า 2 ล้านคน ทั้งเพิ่มสภาพคล่องในการประกอบกิจการ หรือที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน บรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดรายได้จากมาตรควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ระหว่างที่รัฐบาลเร่งบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด
โดยธนาคารออมสิน เปิดให้ “สินเชื่อสู้ภัย COVID-19” แก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้มีรายได้ประจำ (ไม่รวมผู้มีรายได้ประจำจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ) ในขณะที่ ธ.ก.ส. เปิดให้กู้แก่เกษตรกรรายย่อยหรือลูกจ้างภาคการเกษตร ซึ่งผู้ที่จะกู้จากทั้ง 2 ธนาคารนี้ จะต้องมีสัญชาติไทย และอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยสินเชื่อในโครงการ “สินเชื่อ สู้ภัย COVID19” เป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักประกัน (Clean Loan) สำหรับอัตราดอกเบี้ยนั้นกำหนดไว้คงที่ (Flat Rate) ที่ร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก ระยะเวลาการขอกู้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึง 31 ธันวาคม 2564
ขณะที่นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างเร่งขยายฐานผู้มีสิทธิ์ขอสินเชื่อสู้ภัย โควิด-19 ลงระบบแอพพลิเคชัน MyMo ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่โดยเร็วที่สุด สำหรับพื้นที่สีแดงเข้ม 6 จังหวัด จะขยายสิทธิ์เป็น 2 ล้านราย ให้สามารถกดขอสินเชื่อได้ในช่วงเย็นของวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 และขยายเพิ่มเป็น 6 ล้านรายทั่วประเทศ ภายในต้นสัปดาห์ถัดไป ซึ่งเร็วขึ้นกว่าแผนงานเดิม
ทั้งนี้ ผู้ที่เคยกู้สินเชื่อตามมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 มาแล้ว ทั้งที่เป็นวงเงินกู้ไม่เกิน 10,000 บาท/ราย และสินเชื่อเสริมพลังฐานรากวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท/ราย มีสิทธิ์ขอกู้โครงการสินเชื่อสู้ภัย โควิด-19 ครั้งนี้ได้อีก โดยสามารถกดรับสิทธิ์ได้ ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 เช่นเดียวกัน จึงขอแจ้งให้ประชาชนโปรดติดตามและกดเข้าแอปเพื่อตรวจสอบสิทธิ์ของตนเองได้ตามกำหนดเวลาที่แจ้ง