No data was found

เทียบ 10 ข้อ(อ้าง)ปฏิรูปสถาบัน คณะราษฎร vs ปิยบุตร ล้มล้างล้วนๆ

กดติดตาม TOP NEWS

มีแต่เรื่องเซาะกร่อนบ่อนทำลาย คณะราษฎรไฟเขียวให้สภาตัดสินความผิดกษัตริย์ได้ ยกเลิก ม. 112 นิรโทษคดีด่าเจ้า ตัดงบอุดหนุน โล๊ะองคมนตรีรื้อทิ้งหน่วยรักษาความปลอดภัย ส่วนของปิยบุตรหนักกว่ารอนสิทธิ์ด้อยค่ากษัตริย์ ยกรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง กำหนดขอบเขตลดอำนาจเจ้านายสารพัด ให้อำนาจสภาส.ส.ล้นฟ้าสูงกว่าสถาบัน สามารถกำหนดพระราชอำนาจ แต่งตั้งรัชทายาท การให้ความเห็นชอบผู้สำเร็จราชการ การกำหนดเงินรายปี ยกเลิกการลงพระปรมาภิไธยทหาร-ตำรวจ

ย้อนอดีตกลับไปปีที่แล้ว 3 แกนนำสามกีบล้มเจ้า ประกอบด้วย อานนท์ นำภา , ภาณุพงศ์ จาดนอก,ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ได้ขึ้นเวทีของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พร้อมประกาศข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 10 ข้อ ระหว่างจัดการชุมนุมใหญ่ภายใต้ชื่อ “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 10 สิงหาคม 2563 ก่อนที่ต่อมาจะมีการยกระดับการเคลื่อนไหวในนาม “คณะราษฎร2563” โดย 10 ข้อเรียกร้องดังกล่าว ได้กลายเป็น 10 ข้อเรียกร้องทะลุเพดานล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่กลุ่มสามกีบล้มเจ้าใช้เป็นธงในการชุมนุมเคลื่อนไหวเรื่อยมาประกอบด้วย

1.ยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 หมวด 2 พระมหากษัตริย์
ที่ว่าผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องกษัตริย์มิได้ ให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาความผิดของกษัตริย์ได้
2. ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เปิดให้ประชาชนใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันกษัตริย์ได้ นิรโทษกรรมผู้ถูกดำเนินคดีเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์
3. ยกเลิกพ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561 ให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ของส่วนตัวของกษัตริย์อย่างชัดเจน
4. ตัดลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์ ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
5. ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์ อาทิ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ให้ย้ายไปสังกัดหน่วยงานอื่น ยกเลิกคณะองคมนตรี
6. ยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อกำกับให้การเงินของสถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมด
7. ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ
8. ยกเลิกการประชาสัมพันธ์และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงาม
9. สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารเข่นฆ่าราษฎร ที่วิพากษ์วิจารณ์หรือมีความเกี่ยวข้องใดๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
10. ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก


10 ข้อเรียกร้องที่ว่าถือเป็นข้ออ้างเบื้องต้นที่กลุ่ม “สามกีบ- ล้มเจ้า” ใช้เป็นธงในการต่อสู้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อ 10 ส.ค. 2564 ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul นำเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พระมหากษัตริย์ โดยอ้างเหตุผลว่า “หนึ่งปีผ่านไป แม้ประเด็นปัญหาเรื่องสถาบันกษัตริย์จะถูกจุดติด “ช้างในห้อง” ตัวนี้ถูกทำให้เห็นโดยถ้วนทั่ว ไม่มีใครปฏิเสธหรือแกล้งมองไม่เห็นได้อีกแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่า ข้อเรียกร้องนี้อาจถูกพูดถึงในรายละเอียดน้อยลง และดูท่าจะห่างไกลจากความเป็นไปได้มากขึ้น ในช่วงวิกฤต Covid-19 ส่งผลให้การชุมนุมทำได้ยากลำบาก ในขณะที่ผู้ชุมนุมจำนวนมากก็ถูกตั้งข้อหา ดำเนินคดี จับกุม คุมขัง จากกลยุทธ์นิติสงครามที่ฝ่ายรัฐใช้อย่างเข้มข้น พร้อมกับที่ข้อเรียกร้องขับไล่ประยุทธ์ขึ้นมาเป็นกระแสนำ ในฐานะเป็นความจำเป็นเร่งด่วนและเป็นข้อเรียกร้องที่ดูท่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดทั้งหมดนี้เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ค่อยๆ เลือนหายไป
เพื่อมิให้ความเพียรพยายามของเยาวชนอนาคตของชาติและกลุ่มราษฎรเสียเปล่า จึงได้ยกร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ขึ้นมา เพื่อใช้ประโยชน์ในการรณรงค์เรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

 

1. กำหนดพระราชสถานะประมุขของรัฐ ศูนย์รวมจิตใจ และความเป็นกลางทางการเมือง
2. กำหนดพระราชอำนาจ ขอบเขตของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันพระมหากษัตริย์ในการไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในการกระทำใดบ้าง โดยเขียนในภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องตีความว่าอำนาจเป็นของพระมหากษัตริย์หรือของคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องถกเถียงกันว่าพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในทางการเมืองหรือการบริหารราชการแผ่นดินโดยแท้หรือไม่ แต่เขียนชัดเจนเลยว่า พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในเรื่องต่างๆโดยต้องทำตามความเห็นชอบของรัฐมนตรีหรือสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่กรณี โดยนำแบบอย่างมาจากรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น
3. เปลี่ยนกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ให้เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์
4. ยกเลิกองคมนตรี
5. เปลี่ยนแปลงกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ โดยย้อนกลับไปใช้แบบเดียวกันกับกระบวนการก่อนรัฐธรรมนูญ 2534 กล่าวคือ การเสนอพระนามองค์รัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ให้สภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ
6. กำหนดให้พระมหากษัตริย์และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องปฏิญาณตนก่อนเข้ารับหน้าที่
7. กำหนดกรณีที่พระมหากษัตริย์ต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และเปลี่ยนแปลงกระบวนการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เสียใหม่ ให้สภาผู้แทนราษฎรเข้ามามีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบเหมือนรัฐธรรมนูญ 2475 และ 2489
8. กำหนดระบบเงินรายปีแก่พระมหากษัตริย์ โดยให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการกำหนดวงเงินและอนุมัติ และให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบการใช้จ่ายเงินรายปีและรายงานให้สภาผู้แทนราษฎรทราบ
9. ยกเลิกการลงพระปรมาภิไธยในพระบรมราชโองการแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตําแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า ให้คงไว้เพียงการลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยและอำนาจตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น อันได้แก่ รัฐมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ตุลาการศาลปกครอง และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
10. ยกเลิกพระราชอำนาจในการยับยั้งการลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้กฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากสภา

 

ทั้งหลายทั้งมวลที่ว่านั้นคือข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันแค่ลมปาก ความจริงสิ่งที่ต้องการคือล้มล้าง ไม่ว่าจะเป็นของกลุ่มคณะราษฎร 2563 หรือของปิยบุตรล้วนแอบแฝงซ่อนเร้น สุดท้ายปลายทางแท้จริงแล้วมุ่งหวังเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทางเป็นประมุข ประเด็นเรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้เขียนคำวินิจฉัยระบุชัดเจนแล้วว่า ” สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นเสาหลักสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดังนั้นการกระทำใดๆที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีการพูด เขียนหรือการกระทำต่างๆเพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” จากนี้ก็ตามดูว่านอกจาก “ทนายอานนท์-ไมค์-รุ้ง” ที่เป็น “ตัวการ” ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะต้องถูกดำเนินคดีมีโทษหนักยาวเป็นหางว่าวแล้ว ในส่วนของ “องค์กรเครือข่าย” ที่เหลือซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุน ยุยงปลุกปั่น ล้างสมอง จอมบงการ มีทั้งพรรคการเมือง นักการเมือง นักวิชาการ ดารา ศิลปิน นักธุรกิจ ฯลฯ ก็คงต้องโดนหางเลขถูกดำเนินคดีเผลอๆอาจติดคุกเข้าซังเตตามตัวการทั้ง 3 คนไปด้วย ส่วนใครจะโดนมาตราไหนคดีอะไรอีกไม่นานคงได้รู้กัน แต่ที่แน่ๆ ความผิดเรื่องของการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีแต่โทษหนักๆทั้งนั้น โดยเฉพาะหากถึงขั้นกบฏบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตเลยทีเดียว
////////////

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี และ ศรีราชา ให้การต้อนรับ มิสเตอร์ เจสัน รองกรรมการโรงพยาบาลสมัยใหม่ กวางโจ สาธารณประชาชนจีน นายชนะพล คลังรุ่งเรือง นายกสมาคมการค้า ไทย-เหลียวหนิง พร้อมทั้งโชว์ศักยภาพการให้บริการโรงพยาบาลในเครือ "สมิติเวช"
"ทนายเดชา" ฟันธงหลักฐานมัด "บิ๊กโจ๊ก" เตรียมต่อสู้ในชั้นศาล หักล้างความผิด
"จั๊กกะบุ๋ม" จุดธูปสาบานกลางรายการ ตอบชัดๆ "เป็ด เชิญยิ้ม" โทรหา "แม่ปูนา" หรือไม่
“อุ๊งอิ๊ง” แจงปมร้อน บินฮ่องกง มีหลายบทบาท ลั่นพร้อมรับฟังทุกดราม่า
วันไหลแห่เจ้าพ่อพระปรง หรือ วันไหล สงกรานต์ สระแก้ว อย่างยิ่งใหญ่
สื่อยิวเผยอิสราเอลยิงขีปนาวุธพิสัยไกลเข้าอิหร่านไม่ใช่โดรน
"ธีรยุทธ" ร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นศาลรธน.วินิจฉัยพรป.เลือกสว.เอื้อระบบฮั้วขัดกม.
"ก้าวไกล" หัวร้อนหนัก แจงโต้ "ชัยวัฒน์" กล่าวหาฝ่ายค้านเอี่ยวเผาป่าหวังผลการเมือง
“เสรีพิศุทธ์” ตอบทุกคำถาม หลังถูกมองเข้าข้าง “บิ๊กโจ๊ก” มีความเป็นกลางหรือไม่ในการวิเคราะห์
นานาชาติเรียกร้องอิหร่าน-อิสราเอลยุติการตอบโต้

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น