พอล ชาเปอร์ กรรมการบริหารฝ่ายนโยบายสาธารณะระดับโลกของเมอร์ค บริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ กล่าวกับสำนักข่าว AFP ว่า เมอร์คเริ่มทำงานเกี่ยวกับกลยุทธ์การเข้าถึงยานี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เพราะต้องการพัฒนาเกี่ยวกับการจัดส่งไว้แต่เนิ่นๆ ก่อนที่ผลลัพธ์ด้านประสิทธิภาพของยาจะประกาศออกมาในเดือนตุลาคม 2564 ทั้งนี้คาดการณ์ว่าจะมียาโมลนูพิราเวียร์ 10 ล้านชุด พร้อมใช้ภายในสิ้นปีนี้ และจะเพิ่มเป็นอย่างน้อยสองเท่าในปี 2565 โดยยาเหล่านี้ จะถูกกำหนดราคาตามข้อมูลของธนาคารโลก เกี่ยวกับการเงินในแต่ละประเทศ
นอกเหนือจากการจัดส่งยาเองแล้ว เมอร์คยังทำข้อตกลงกับพันธมิตรยาในอินเดียอีกแปดราย และได้ลงนามในข้อตกลงการออกใบอนุญาตโดยสมัครใจกับกลุ่มสิทธิบัตรที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงยาโมลนูพิราเวียร์ได้ในอีก 105 ประเทศ
ชาเปอร์กล่าวเสริมว่า ในไตรมาสแรก และไตรมาสที่สองของปี 2565 บริษัทจะมียาจำนวนมากจำหน่ายในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง และประเทศทั้งที่มีรายได้ต่ำ ปานกลางและสูง จะสามารถเข้าถึงยาได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งแตกต่างกับการเปิดตัววัคซีนโควิด-19 ที่มีความไม่เท่าเทียมกันอย่างมาก
นอกจากนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว มูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ ก็ได้ประกาศการลงทุนสูงถึง 120 ล้านดอลลาร์ (หรือเกือบ 4 พันล้านบาท) เพื่อพยายามเร่งให้ยาเข้าถึงประเทศที่มีรายได้ต่ำได้อย่างรวดเร็ว