หากใครตามทักษิณ ชินวัตร นักโทษคนแดนไกลมาตลอด จะเห็นว่าหนึ่งในปัญหาที่เป็นชะนักติดหลังติดตัวทักษิณมาตลอดก็คือเรื่องของการกระทำการหมิ่นเหม่สุ่มเสี่ยงหลบหลู่สถาบันพระมหากษัติรย์ เอาเท่าที่พอคนไทยจำได้ อาทิ กรณีพูดว่ากระซิบข้างหูก็จะลาออก มีมือที่มองไม่เห็นนอกรัฐธรรมนูญครอบงำประเทศกดดันรัฐบาล ยกตนเสมอเจ้าพาคณะรัฐมนตรีและพวกพ้องประกอบพิธีทำบุญในวัดพระแก้ว เผยแพร่แนวคิดและเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปสู่ระบอบประธานาธิบดี ฯลฯ เรื่องพวกนี้เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้ตามไปม่ทัน แต่คนรักชาติรักสถาบันต่างรู้กำพืดเห็นสันดานของทักษิณเป็นอย่างดี ว่าการแก้ไขม.112 ยกเลิกกฎหมายปกป้องเจ้าฉบับนี้เป็นสิ่งที่ทักษิณคิดฝันอยากทำมาตลอด ใครเป็นคนใกล้ชิดสนิทโทนี่จะรู้ดี ปากอุ้มเจ้า ใจล้มสถาบัน สิบปียี่สิบปีไม่มีเปลี่ยน
เพียงแต่หาเวลาเหมาะๆหาโอกาสดีๆ หาแนวร่วมที่เห็นตรงกันไม่ได้ เพราะคนไทยรักชาติรักสถาบันและไม่ยอมให้ใครมาเตะต้องทำลาย เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่มีความพยายามจากฝ่ายการเมืองจากนักการเมืองคิดไม่ซื่อต้องการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ส่วนใหญ่มักตกไปและมีอันเป็นไปจนหมด ย้อนอดีตกลับไปดูรากของกฎหมายปกป้องสถาบัน ม.112 ไม่ได้เกิดสมัยจอมพลสฤษฎ์ พ.ศ.2500 แบบที่ทักษิณอ่านวิกิพีเดียแล้วเอามาโม้มาเขียนในเฟซบุ้ค ในอดีตยุคพระพุทธเจ้าหลวง ร.5 มีกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 (ราวปี 2453) ม.97 สำหรับปกป้องชื่อเสียงของพระมหากษัตริย์ ยุคแรกความผิดเรื่องนี้ถือเป็นความผิดต่อรัฐด้วย การกำหนดความผิดในการหมิ่นประมาทและอาฆาตมาดร้ายพระเจ้าแผ่นดินมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ความจริงยุคนั้นการดูหมิ่น ให้ร้าย หรือ อาฆาตมาดร้ายองค์พระมหากษัตริย์ ด้วยอำนาจบารมีล้นฟ้าของพระเจ้าแผ่นดินในสมัยนั้น สามารถลงโทษกุดหัวคนบาปหยาบช้าเอาไปฆ่าตัดหัวทิ้งได้อยู่แล้ว แต่เพราะพระเมตตาพระองค์ท่านจึงกำหนดให้มีการตรากฎหมายกำหนดความผิดของคนที่กระทำการดังกล่าว เพื่อไม่ให้ถูกลงโทษอาญาแผ่นดินที่หนักหรือรุนแรงเกินกว่าความผิดที่ควรจะเป็น
ต่อมาไทยมีกฎหมายอาญาสมัยใหม่ฉบับแรกของสยามตอนพ.ศ.2461 จึงแยกความผิดของพระมหากษัตริย์กับรัฐออกจากกัน และได้เริ่มมีการกำหนดโทษผู้ที่ดูหมิ่นให้ร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี มกุฏราชกุมาร และผู้สำเร็จราชการ มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 5 พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ จากนั้นหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475 ตัวกฎหมายความผิดต่อพระมหากษัตริย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แม้แต่คณะราษฎรที่มีอำนาจในตอนนั้นก็ไม่แตะเรื่องนี้ แถมยังเพิ่มสถานะการล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ไม่ได้ลงไปในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ต่อมาในวันที่ 1 ม.ค. 2500 สมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไทยมีประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 มีผลบังคับใช้มีการแก้ไขกฎหมายความผิดต่อพระมหากษัตริย์ให้ครอบคลุม “การดูหมิ่น” ด้วย ต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 คณะรัฐประหารในยุค พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ได้แก้ไขกฎหมายให้โทษหมิ่นพระมหากษัตริย์มีโทษสูงขึ้น โดยเพิ่มจากจำคุกสูงสุด 7 ปี เป็นจำคุกต่ำสุด 3 ปี และ สูงสุด 15 ปี และใช้โทษนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หากไปไล่ดูสถิติคดี 112 ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาปี ถือว่ามีน้อยมาก 2550-36 คดี, 2551-55 คดี , 2552- 104 คดี, 2553- 65 คดี, 2554- 37 คดี , 2555- 25 คดี
2556-57 คดี ยิ่งภายหลังการรัฐประหารปี 2557- 99 คดี, 2558-116 คดี , 2559 – 101 คดี, 2560 (9 เดือน) 45 คดี จากนั้นเป็นต้นมาเมื่อพรรคอนาคตใหม่ถือกำเนิด 3 เกลอล้มเจ้า ” ธนาธร-ปิยะบุตร-พิธา” เริ่มทำงานยุยุงเป่าหัวคนรุ่นใหม่ให้เกลียดชังสถาบัน คดี 112 ก็พุ่งขึ้นเป็นดอกเห็ดมากเท่าทวีคูณ
จะเห็นว่าตั้งแต่โบราณนานมาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัย ร.5 สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 สมัยจอมพล ป. สมัยคณะปฏิวัติเรืองอำนาจ แม้กระทั่งสมัยรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีรัฐบาลใดยุคไหนที่ไปเตะไปคิดล้มล้างกฎหมายฉบับนี้ เพราะทุกคนรู้ทราบตระหนักดี ว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือสุดท้ายเพียงตัวเดียวที่ใช้สำหรับปกป้องสถาบัน ดูแลพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท พระบรมวงศ์ศานุวงศ์ ไม่ให้ถูกกระทำย่ำยีจากพวกใจบาปหยาบช้า แม้แต่ช่วงที่ทหารมีอำนาจสูงสุด คณะปฏิวัติมีอำนาจล้นฟ้า แต่ก็ไม่มีใครคิดจะไปล้มล้างไปรื้อกฎหมายที่จะดูแลพระเกียรติ ไปทำลายเครื่องมือที่ใช้ปกป้องดูแลเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน อันเป็นสถาบันที่คนไทยเคารพรักยิ่งแต่นานมา
การกระทำของพรรคเพื่อไทยลงนามโดยชัยเกษม นิติสิริ รอบนี้นับว่าหลบหลู่เหยียดยามสถาบันเป็นอย่างยิ่ง ลำพังแค่พรรคก้าวไกลล้มเจ้าก็เรียกว่าหนักหน้ามากพอแล้ว แต่กรณีส้มหวานล้มเจ้าคนไทยรักสถาบันเขารู้ดีว่านักการเมืองพันธุ์แบบนี้พรรคการเมืองที่ลืมกำพืดตัวเองจุดจบจะเป็นอย่างไร เพราะได้กวดน้ำคว่ำขันตัดหางปล่อยวัดไปนานแล้ว แต่พรรคเพื่อแม้วที่มีผู้เฒ่ามีหัวหงอกเต็มลำเรือ เรื่องแบบนี้ทำไมคิดไม่ได้ ให้โทนี่จูงจมูกเรื่องอื่นพอว่า แต่ไปเออออห่อหมกปล่อยเลยตามเลยกับเรื่องนี้ บอกเลยมีแต่เจ๊ากับเจ๊งที่สุดนพ.ชลน่านก็ต้องรีบออกมาตีฉิ่งไม่เตะต้องเรื่องนี้ ขอใช้กลไกสภาเป็นตัวขับเคลื่อนแทน นอกจากจะตีกินไม่ได้แต้มต่อเพราะกลับลำไปมาแล้ว การตีสองหน้าลิ้นสองแฉกก็พลอยทำให้คนทั้งสองฝาก ไม่ว่ารักเจ้าหรือชังเจ้า ได้เห็นธาตุแท้รู้สันดานเดิมทักษิณอีกครั้ง ผลประโยชน์มาก่อนเรื่องอื่นมาทีหลัง สู้ไปกราบไปลิงหลอกเจ้าหน้าไหว้หลังหลอก สารพัดสารพันคำด่าประเคนถึงโทนี่
กลับลำ 112 รอบนี้ทักษิณอย่าคิดว่าฉลาด อย่านึกว่าคนไทยรู้ไม่ทัน ลูกไม้เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นแบบนี้ ใครๆก็รู้นิสัยนายใหญ่ใจมดคนนี้ดี ยุม็อบให้ไปตายแต่ตัวเองใช้ชีวิตสบายที่ดูไบ หลอกสมุนโกงขายข้าวให้ติดคุกแต่น้องสาวเสวยสุขในต่างแดน เจ็บแล้วจำคือคนเจ็บแล้วทนคือควาย เที่ยวนี้ทั้งแดงทุนนิยม บวกส้มล้มเจ้า เลยออกมาสหบาทา สวดไล่ส่งทักษิณชนิดไม่ไหวหน้า สมยศ พฤกษาเกษมสุข อัดตายน้ำตื้นอยู่เสมอ ความคิดเขลาลืมสหายที่เคยเสียสละอย่าง “จารุพงศ์-อภิวันท์-จักรภพ-สุนัย” หมดแล้วหรือ ด้านสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สาปส่งเป็นผู้นำขี้ขลาด ถนัดแต่ด่าเจ้าในที่ลับ ปล่อยเด็กติดคุกถ้าชนะค่อยมารับผลประโยชน์ ส่วนจอม เพชรประดับ ก็ล้อแสบทักษิณเรื่อง 112 หลอกให้คนหลงเชื่อไปวันๆ “พรุ่งนี้..เพื่อไทย” ถึงอย่างไรก็ยังมาไม่ถึงเพราะยังเป็นวันพรุ่งนี้อยู่ดี สาวกทักษิณ FCโทนี่ ได้ยินคนข้างเดียวฝ่ายตามพูดแบบนี้ ตาสว่างกันแล้วหรือยัง
////////////////////////
