การเมืองตอนนี้ไม่มีประเด็นอะไรจะร้อนแรงไปกว่ากรณีที่ ชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย ออกจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้มีการยกเลิกการใช้กฎหมายอาญาดำเนินคดีกับผู้เห็นต่าง ไม่ว่าจะเป็น ป.อาญา ม. 112 ม. 116 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน อ้างสร้างผลกระทบให้ประชาชนเกิดความเสียหาย ไม่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม เล่นใหญ่ถึงขั้นจะไปรื้อดูกระบวนการทำงานของตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้ดุลยพินิจเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือไม่ ก่อนวกกลับมายืนยันในฐานะพรรคการเมืองที่มีเสียงส.ส.มากที่สุดในสภา เตรียมนำเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาเพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป
” จุดยืนของพรรคเพื่อไทย มีเจตนาเพื่อให้นักโทษทางความคิดได้รับการปล่อยตัว และไม่ให้เกิดนักโทษทางความคิดเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของประเทศไทย ส่วนการจะแก้ไขกฎหมายใด และมีเนื้อหารายละเอียดอย่างไร เป็นอำนาจของรัฐสภา” อดีตรมว.ยุติธรรมกล่าว ขณะที่อีกด้านเพจกลุ่ม CARE คิด เคลื่อน ไทย ก็ออกมาสนับสนุนแก้ไข ม. 112-116 ชูสโลแกนปลดล็อกมหาวิกฤติศรัทธา-ความยุติธรรม กางสถิติ 24 พ.ย. 2563 – 28 ต.ค.2564 มีคนถูกดำเนินคดี ม. 112 ไปแล้ว 154 คน ใน 159 คดี ด้วยเหตุนี้จึงขอเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพื่อไม่ให้คนบริสุทธิ์ถูกดำเนินคดี ไม่ให้มีนักโทษทางความคิด มาตะเภาเดียวกันเลย
ชัดเจนเป็นที่แน่นอนแล้วว่าพรรคเพื่อไทยใต้ร่มเงาของทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่คนแดนไกล ไม่ว่าผ่านมากี่ยุคกี่สมัยยังคิดด้อยค่าล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยไม่มีเปลี่ยน แต่ด้วยความเป็นคนฉลาดแกมโกงรู้ทางหนีทีไล่ช่ำชองการเมืองเป็นอย่างดี ทักษิณจึงรู้ดีว่าช่วงไหนควรตึงช่วงไหนควรหย่อนกับเรื่องนี้มาตลอด เพราะเขี้ยวรากดินรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นอ่อนไหวกับคนไทยเป็นอย่างยิ่ง หากก้าวผิดเดินพลาดมีหวังเสียรังวัดถูกโจมตีแบบกู่ไม่กลับ เผลออาจโดนลากขยี้เป็นคดีความซวยหนักไปอีก การก้าวเดินแต่ละเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันในช่วงหลังทักษิณจึงระมัดระวังมากเป็นพิเศษ หนำซ้ำหลายปีที่ผ่านมาทักษิณ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และคนในตระกูลชินวัตร พยายามทำดีกับเจ้าแสดงความพินอบพิเทากับสถาบันมาตลอด ที่เรื่องนี้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรู้สันดานทักษิณดีก็รู้ว่าเป็นละครตบตาทำลิงหลอกเจ้าไปแบบนั้น เพราะลึกๆทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าทักษิณมีเป้าหมายในใจต้องการล้มล้างสถาบัน จนถูกคนเสื้อส้มพรรคก้าวไกลก๊วนอดีตอนาคตใหม่แซะความไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ในทำนองว่า “สู้ไปกราบไป”
ย้อนกลับไปยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ 9 ปีที่แล้ว ช่วงนั้นกลุ่มนิติราษฎร์รณรงค์เรื่องนี้อย่างหนักหน่วง จากนั้นก็มีการตั้ง คณะรณรงค์แก้ไข ม. 112 ในนาม “ครก.112” เข้ามารับช่วงสานต่อเรื่องดังกล่าว ถึงขั้นเสนอร่างแก้ไข ม.112 ภาคประชาชนเพื่อให้ยิ่งลักษณ์ผลักดันต่อในสภา แต่นายกฯน้องสาวไม่แยแสไม่สนใจเรื่องนี้ แถมแสดงจุดยืนชัดเจนในการปกป้องสถาบันโดยเฉพาะการให้สัมภาษณ์หลายครั้งในช่วงต้นปี 2555
“วันนี้ทุกคนต้องไม่นำสถาบันฯ เข้ามายุ่งเกี่ยวในฐานะคนไทยด้วยกันที่ต้องปกป้องสถาบัน และไม่เอาไปใช้ในทางอื่น เราต้องร่วมกันปกป้องสถาบัน ….เรามองเรื่องของการปกป้องสถาบันมากกว่า เราไม่ได้มองเรื่องตรงนี้เรามองในเรื่องการใช้ และไม่ควรนำสถาบันไปในทางอื่น เชื่อว่าทุกคนมีแนวทางเดียวกันคือ ร่วมกันในการปกป้องสถาบัน ” อดีตนายกฯปูให้สัมภาษ์ 24 ม.ค.2555 สุดท้ายปลายทางแม้ครก.112 จะมีการรวบรวมรายชื่อคนได้คนได้ถึง 3 หมื่นกว่าชื่อ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ถูกผลักดันให้นำไปพิจารณาในสภา ชัดเจนว่าสมัยน้องสาวเป็นนายกฯแม้มีอำนาจล้นฟ้าแต่ทักษิณก็ไม่เตะไม่หยิบเรื่องนี้มาแก้ไขแต่อย่างใด
มารอบนี้ปีพ.ศ.2564 ก่อนหน้านี้ในช่วงแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความพยายามจากพรรคก้าวไกลเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 1 ทั่วไป และ หมวด 2 สถาบันพระมหากษัตริย์ พรรคเพื่อไทยของทักษิณก็ออกตัวยืนกรานไม่ขอแตะไม่ก้าวล่วงหมวดสถาบัน สุดท้ายก็มีแต่พรรคก้าวไกลทั้งนั้นที่กลายเป็นหมาหัวเน่าเดินเดี่ยวเรื่องนี้อยู่พรรคเดียว ขณะที่ทุกพรรคการเมืองส่วนใหญ่ไม่อยากไปแตะประเด็นร้อนในเรื่องนี้ แม้แต่พรรคเพื่อไทยเองที่ความจริงลึกๆก็อยากโกยคะแนนจากพวกคนรุ่นใหม่ พวกหัวก้าวร้าว พวกชังสถาบัน จากพรรคก้าวไกลใจจะขาดแต่ติดที่กลัวจะเสียภาพ เสียคะแนนนิยมจากคนไทยที่รักเทิดทูนสถาบันที่มีจำนวนมหาศาล ที่สุดจึงต้องปล่อยคนกลุ่มนี้ไปให้กับพรรคก้าวไกลแบบไม่รู้จะทำไงได้
อย่างไรก็ตามทุกอย่างกลับตาลปัตร หลัง 28 ต.ค.2564 หลังพรรคเพื่อไทยนายใหญ่ทักษิณตัดสินใจส่งลูกสาวคนเล็ก อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร เปิดตัวในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ในงานจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ภายใต้แคมเปญ “พรุ่งนี้เพื่อไทย เพื่อชีวิตใหม่ของประชาชน” ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น ที่แม้ในทางทฤษฎีจะไม่ได้ประกาศตัวอย่างเป็นทางการในฐานะแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย แต่ในทางปฏิบัตินั้นชัดเจนว่านายใหญ่นายหญิงวางตัวลูกสาวคนเล็กสานต่อซีรี่ย์ “นารีขี่ม้าขาว ภาค 2 ” อย่างแน่นอน รอบนี้คงต้องทุ่มสุดตัวหวังผลักดันอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯหญิงคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยให้ได้ บวกลบคูณหารเที่ยวนี้ต้องกวาดให้หมด ไม่ว่าจะเป็น Gen X Gen Y หัวก้าวหน้า คนรุ่นใหม่ ล้มเจ้า ชังชาติ แดงทุนนิยม ส้มล้มเจ้า ฯลฯ ต้องฟาดให้เรียบต่อให้ต้องเปิดศึกกับพันธมิตรอย่างพรรคก้าวไกลหักเหลี่ยมกับ 3 เกลอล้มเจ้าอย่าง “ธนาธร-ปิยะบุตร-พิธา” ก็ต้องยอม หากหวังจะแลนสไลด์ชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายเหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ก็ต้องเทหมดหน้าตัก แม้ต้องทิ้งคะแนนคนไทยที่รักสถาบันจำนวนมหาศาลไปก็ตาม แต่ก็ถือเป็นทางที่เสี่ยแม้วเลือกแล้ว
อย่าได้แปลกใจที่รอบนี้ทักษิณจะไฟเขียวให้ชัยเกษม เหล่าสมุนบริวารอย่างกลุ่มCARE คิด เคลื่อน ไทย ออกมาเคลื่อนเรื่องนี้อย่างพร้อมเพียงกัน เหตุเพราะการเลือกตั้งครั้งหน้าเปรียบเสมือนรถไฟขบวนสุดท้ายของชีวิตแล้ว รอบนี้เลยทิ้งไพ่ใบสุดท้ายปล่อยลูกสาวคนเล็กเล่นศึกนำทัพด้วยตัวเอง เพราะเดิมพันมันสูงหากอุ๊งอิ๊งไม่ได้เป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาล โอกาสที่จะต่อสะพานกลับบ้านแบบเท่ห์ๆแทบเป็นศูนย์ อุ๊งอิ๊งต้องนั่งนายกฯเพื่อไทยต้องชนะถล่มทลายเป็นรัฐบาลให้ได้ ถึงจะออกพ.ร.ก.นิรโทษกรรม ถึงจะรื้อคดีขึ้นมาใหม่ ถึงจะหาทางเป่าคดีกลับแผ่นดินแม่ได้ ปีนี้ทักษิณอายุ 72 แล้ว กว่าจะเลือกตั้งอีก 1-2 ปี ก็ปาเข้าไป 73-74 ปี เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ประกาศแตกหักกับคนรักเจ้า สนับสนุนแก้ ม. 112 หวังเอาใจคนชังสถาบัน คนไทยขีดเส้นใต้ให้ชัด จำให้แม่นเลือกตั้งเที่ยวนี้ทักษิณเลือกข้างไม่เอาเจ้า ส่วน “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐสวนหมัดเพื่อไทยเสยปลายคางทักษิณ ย้ำหนักแน่นสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่คู่กับคนไทย ด้านน.พ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ พรรคเล็กแต่จิตสำนึกสูงก็ฝากข้อความถึงโทนี่ “เลือกตั้งรอบนี้คนไทยจะให้บทเรียนกับทักษิณ”
//////////////////