ถือเป็นหนึ่งกระแสข่าวพูดถึงอย่างมาก จากปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นบนลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อเรือไฟฟ้า Mine Smart Ferry ได้รับอนุญาตให้เริ่มทดลองบริการเดินเรือไฟฟ้า นับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา โดยไม่มีการเก็บค่าโดยสาร จนถึงวันที่ 15 มี.ค. 2564 ขณะที่ขอบเขตให้บริการ เป็นเส้นทางเดียวกับบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา ที่หลายคนรู้จักกันมานาน ในลักษณะทับซ้อนจุดสำคัญ ๆ ตั้งแต่ท่าน้ำนนทบุรี ยาวไปถึงท่าเรือสาทร
ขณะที่จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า เรือไฟฟ้า Mine Smart Ferry เป็นธุรกิจที่บริหารจัดการโดย บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต ด้วยทุนจดทะเบียน 401 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2562 ที่ผ่านมา โดยทางด้าน นาวาโท ปริญญา รักวาทิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จำกัด เคยให้ข้อมูลว่า การให้บริการระยะที่ 1 บริษัทฯ จะเริ่มเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย จากนั้นจะคิดค่าโดยสารตามระยะทาง โดยอยู่ระหว่างการเสนอให้กรมเจ้าท่าพิจารณาอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม และยังมีแผนจะเปิดให้บริการเฟส 2 อีก 3 สายเส้นทาง ภายในเดือนเม.ย. 2564
ซึ่งเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2563 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้เดินทางไปตรวจความพร้อมด้วยตัวเอง เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ มีกำหนดเป็นประธาน ในพิธีเปิดโครงการทดลองเดินเรือโดยสาร ในวันที่ 22 ธ.ค. 2563
ทางด้าน นาวาตรี เจริญพร เจริญธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา เปิดเผยกับทีมข่าว TOP NEWS ว่า บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด เป็นบริษัทเอกชนที่ดำเนินกิจการขนส่งโดยสารทางน้ำ โดยได้รับอนุญาตเดินเรือโดยสารประจำทางจากกรมเจ้าท่า หลังจากในช่วงแรก กระทรวงคมนาคมได้เปิดให้บริการเดินเรือด่วน แม่น้ำเจ้าพระยา ในนามขององค์การ รสพ. และต่อมาได้ขายกิจการต่อให้กับบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ในปี พ.ศ. 2514 จนถึงปัจจุบัน บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ให้บริการประชาชน รวมระยะเวลานานถึง 50 ปี แล้ว
และปัจจุบันให้บริการเดินเรือโดยสาร เส้นทางระหว่างปากเกร็ด (นนทบุรี) ถึงวัดราชสิงขร ด้วย 5 สายการเดินเรือหลักได้แก่ 1. เรือด่วนปรับอากาศ ธงแดง – ริว่า เอ็กซ์เพรส 2. เรือด่วนพิเศษ ธงส้ม 3. เรือด่วนพิเศษ ธงเหลือง 4. เรือด่วนพิเศษ ธงเขียว และมีเรือให้บริการจำนวนทั้งสิ้น 57 ลำ รับผิดชอบดูแลผู้ใช้บริการต่อวันมากถึง กว่า 36,000 คน แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ระลอกใหม่ ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการลดลงเหลือเฉลี่ยวันละกว่า 14,000 ราย และส่งผลให้รายได้ของบริษัทลดลงเช่นเดียวกัน
ส่วนประเด็นจากการที่กระทรวงคมนาคม อนุญาตให้มีผู้บริการรายใหม่ เดินเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นทางเดียวกับบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา นาวาตรี เจริญพร แสดงความเห็นว่า ในการให้บริการรับส่งผู้โดยสาร โดยข้อเท็จจริง สิ่งสำคัญคือ ความปลอดภัยของประชาชน และสามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างเพียงพอ ไม่แออัด ซึ่งปัจจุบันทางด้านของเรือด่วนเจ้าพระยา สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างครอบคลุม ตามข้อกำหนดของกรมเจ้าท่า
ส่วนกรณีเรือไฟฟ้า ผู้ให้บริการรายใหม่ ส่วนตัวมองว่า การเปิดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาเดินเรือนั้น กรมเจ้าท่าสามารถทำได้ หากพิจารณาเห็นว่าปัจจุบันมีเรือให้บริการไม่เพียงพอกับความต้องการ หรือ มีความแออัดของจำนวนผู้ใช้บริการมากเกินไป
แต่ขณะเดียวกันต้องย้ำ ในฐานะผู้ประกอบการที่รับผิดชอบการเดินเรือโดยสารมานานถึง 50 ปี “สิ่งที่เป็นกังวลมากสุด คือเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสาร โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งรีบ ที่การจราจรทางเรือจะหนาแน่น ระยะเวลาการเทียบท่าที่มีอย่างจำกัด อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยขึ้นได้ ซึ่งกรมเจ้าท่าจะต้องพิจารณาถึงข้อนี้ด้วย เพราะปัจจุบันเรือที่ให้บริการอยู่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน 3 นาทีออก เพื่อความรวดเร็ว หากมีเรือเพิ่ม ระยะเวลาที่เรือรอเข้าท่าก็จะนานขึ้น เรือจะต้องลอยลำกลางแม่น้ำ ซึ่งอาจจะเกิดอุบัติเหตุ ทั้งการเฉี่ยวชน หรือคลื่นจากการเดินเรือได้ ดังนั้น ในการพิจารณาให้มีใบอนุญาติเดินเรือเส้นทางเดียวกัน กรมเจ้าท่าต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน”
ในตอนท้าย นาวาตรี เจริญพร กล่าวเสนอแนะว่า หากภาครัฐต้องการเชื่อมต่อการเดินทางของประชาชน ให้มีความครอบคลุมทั่วถึง โดยข้อเท็จจริงยังมีอีกหลายพื้นที่ ที่สามารถเพิ่มการเดินทางด้วยเรือได้ ไม่ว่าจะเป็นคลองแขนงต่างๆ อย่างคลองบางกอกน้อย คลองบางกอกใหญ่ หรือ คลองต่างๆในพื้นที่กรุงเทพ ที่ขณะนี้ยังไม่มีผู้ประกอบการเดินเรือไปให้บริการประชาชน
ส่วนการเปิดให้ผู้ประกอบการรายใหม่บริการเดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยานั้น ทางด้านของบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา ได้เตรียมหารือกับกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เพื่อขอความเป็นธรรม และสุดท้ายหากยังไม่ได้ข้อสรุป ก็พร้อมที่จะขอความเป็นธรรมจากศาลเพื่อพิจารณาต่อไป
ขณะที่ นายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ระบุว่า เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา ทางผู้แทนบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ได้ร่วมหารือร่วมกับผู้แทนของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรืออีเอ ไปแล้วหนึ่งรอบ ก่อนได้ข้อสรุปร่วมกันในการแก้ไขปัญหาเวลาทับซ้อน การเข้าออกท่าระหว่างเรือด่วนเจ้าพระยา และเรือไฟฟ้าของอีเอ ที่ทดลองวิ่งอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา คือช่วงตั้งแต่ท่าน้ำนนท์ถึงสาทร โดยกำหนดให้เรือด่วนเจ้าพระยาออกจากท่าเวลา 05.30 น. และเรือไฟฟ้าของทางอีเอ จะออกจากท่าในเวลาเหลื่อมจากเรือด่วนเจ้าพระยา ในช่วงเวลาที่ช้ากว่า หรือ ห่างกันประมาณ 10-15 นาที
นอกจากนี้ กรมเจ้าท่ายังได้สั่งให้ผู้ประกอบการ ทั้งสองรายทำการขายตั๋วเรือโดยสาร หรือตั้งจุดตั๋วเรือนอกท่า ซึ่งทางผู้ประกอบการรับทราบ และรับจะไปดำเนินการตั้งจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารนอกท่า เพราะก่อนหน้านี้มีผู้ให้บริการเพียงรายเดียว คือ เรือด่วนเจ้าพระยา จึงมาใช้จุดตั้งขายตั๋วโดยสารบริเวณท่าเรือ แต่เมื่อมีผู้ประกอบการสองราย จึงพิจารณาให้ไปตั้งจุดอยู่ด้านนอกท่าแทน
“ปัญหาเรื่องวิ่งทับซ้อนกัน คิดว่าคงไม่มีปัญหาแล้ว น่าจะตกลงกันได้ โดยเรือไฟฟ้าของทางอีเอ ยังอยู่ในช่วงทดลองวิ่งจนถึงสิ้นเดือนมี.ค. 2564 ซี่งเรือทางสองแบบก็เป็นคนละอย่าง เพราะเรือไฟฟ้าของทางอีเอจะเป็นระบบปรับอากาศ แม้ว่าทั้งสองรายจะใช้เส้นทางวิ่งเหมือนกันคือ จากท่าน้ำนนท์ไปสาทร ก็ตาม”