ก่อนหน้านั้นมีรายงานข่าว
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติรับเรื่องกล่าวหา กรณี 1.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย 2.นายสาโรจน์ หงษ์ชูเวช อดีต ผอ.พรรคเพื่อไทย 3.นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย 4.นายจักรพงษ์ แสงมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และ 5.ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงบประมาณ ว่า มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
เนื่องจากมีพฤติการณ์ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการสั่งการ บังคับ ก้าวก่าย หรือเข้าแทรกแชง ในการจัดทำงบประมาณการอนุมัติงบประมาณ การบริหารงบประมาณ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 ผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อประโยชน์ของตนเอง และผู้อื่น หรือพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบฯ2568 นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า กรณีดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องจากการที่มีผู้ยื่นคำร้องไปยัง ป.ป.ช. เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบ กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 7,404.34 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 สำหรับ 4 กระทรวง 12 หน่วยงาน จำนวน 2,748 รายการ
ทั้งนี้ เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ มีการอนุมัติจัดสรรงบฯให้กับแผนงาน/โครงการให้เฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเขตพื้นที่เลือกตั้งของ สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ อปท.บางแห่ง ได้รับการจัดสรรงบฯเป็นจำนวน 78 โครงการฯ
นอกจากนี้ ยังพบว่าแผนงาน/โครงการฯ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณดังกล่าว มีลักษณะโครงการเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน อีกทั้งในหลายจังหวัดได้รับจัดสรรงบประมาณใกล้เคียงกันมาก เป็นต้น
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง บัญญัติว่า “ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้”
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ปัจจุบันการจัดสรรงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 ยังอยู่ในขั้นตอนที่หน่วยรับงบประมาณจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นฯ
อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏเป็นข่าวว่า เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2568 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 ไว้ตรวจสอบ สำนักงบประมาณ จึงได้เสนอให้ชะลอการอนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณฯ ในครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฯ ทั้งหมด วงเงิน 51,584 ล้านบาท เอาไว้ก่อน เพื่อความรอบคอบและโปร่งใส จนกว่าจะมีความชัดเจนจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช.
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) มีมติเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2568 เห็นชอบแผนงาน/โครงการมาขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ.2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 51,584 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้ง ช่วงปี 2568 สำหรับ 4 กระทรวง 15 หน่วยงาน 19,970 รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
ต่อมาสำนักงบประมาณได้พิจารณาแล้ว และเห็นควรให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนงาน/โครงการที่ สทนช. เสนอ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 7,404.34 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 และเสนอให้ ครม. เห็นชอบเมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ดังกล่าว