ย้อนอดีตกลับไปช่วงกลางปีที่ผ่านมา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐตัดสินใจครั้งสำคัญในการดึงน้องรักอย่าง “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่เป็นแค่กรรมการบริหารพรรคในตอนนั้นผงาดขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ภายหลังจากที่โชว์ผลงานพาผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้งซ่อมหลายพื้นที่ รวมถึงใช้คอนเนกชั่นเบ่งบารมีบวกกระสุนดินดำพาผู้สมัครเลือกตั้งท้องถิ่นใต้ปีกพรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้งทั่วประเทศแบบถล่มทลาย ภาพฝันตอนนั้นพล.อ.ประวิตรหวังจะให้ร.อ.ธรรมนัสใช้กึ๋นบวกความเก๋าพาพรรคพลังประชารัฐวิ่งฉิวติดลมบนบนถนนสายการเมือง บนเป้าหมายนำพาพรรคพลังประชารัฐเป็นสถาบันการเมืองเฉกเช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ อย่าง พรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทย ที่หัวหน้าพรรคเคยเป็นนายกฯมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ความฝันกับความจริงบ่อยครั้งตรงข้ามกันเสมอ เพราะฝันหวานสวยหรูของพล.อ.ประวิตรที่ว่ากลับพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี หลังเกิดกรณีวางแผนจ้างพรรคเล็กล้ม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อ 31 ส.ค.-3 ก.ย.ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสข่าวของสื่อตรงกันเป็นทางเดียวว่าไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังเดินเกมส์ใหญ่หวังล้มกระดานสร. 1 เที่ยวนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนในพรรคพลังประชารัฐที่มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างร.อ.ธรรมนัสนั้นเอง ที่วางแผนจับมือกับแก๊งค์ 3 ช. ประกอบด้วย นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม กับแกนนำหลายคนในพรรค รวมถึงมีคนนอกทั้งอดีตนายตำรวจใหญ่กรมปทุมวัน นายทหารระดับสูงของกองทัพ แม้กระทั่งคนในสภาสูงที่เกลียดพล.อ.ประยุทธ์ต้องการล้มลุงตู่ร่วมวงศ์ไพบูลย์ในการเดินหมากเกมส์นี้ด้วย
สาเหตุหลักสำคัญที่มีการรวมพลังสหบาทาจากหลายฝ่ายหวังล้มพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ในคราวนั้น ด้านหนึ่งมีกระแสข่าวว่าร.อ.ธรรมนัสไม่พอใจที่ถูกด้อยค่าไม่ให้ราคามองไม่เห็นหัวจากพล.อ.ประยุทธ์เพราะตั้งแต่ได้รับการโหวตจากที่ประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อ 18 มิ.ย.ให้เป็นเลขาธิการพรรค บวกลบคูณหารเบ็ดเสร็จเกือบ 2 เดือนครึ่ง ไม่มีวี่แววไม่มีข่าวไม่มีความคืบหน้าว่าพล.อ.ประยุทธ์จะปรับครม.อัพเกรดให้ขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการเป็นเสนาบดีเกรดเอเหมือนคนอื่น ให้สมศักดิ์ศรีแม่บ้านพรรคพลังประชารัฐที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล แต่เรื่องนี้ก็ถูกพล.อ.ประยุทธ์เบรกหัวทิ่มเพราะตอนนั้นสถานการณ์โควิด -19 อยู่ในช่วงขาขึ้น การระบาดหนักจริงๆมีคนติดเชื้อ 2 หมื่นกว่าคนต่อวัน นายกฯจึงไม่อยากเอาเรื่องการเมืองมาทำให้รัฐบาลเสียสมาธิเอาเรื่องอื่นมาทำให้เสียรังวัด เพราะเสี่ยงถูกชาวบ้านด่าว่าสนใจการเมืองมากกว่าเรื่องชีวิตผู้คนที่สุดเลยพับเรื่องปรับครม.เอาไว้ก่อน ประเด็นนี้ก็เลยทำให้ร.อ.ธรรมนัสไม่พอใจ พาลเก็บเอาไปคิดลึกคิดมากกลายเป็นแค้นฝังหุ่น
อีกด้านก็มีกระแสพวกผสมโรงพวกโจทย์เก่าที่ไม่ชอบพล.อ.ประยุทธ์ มีทั้งพวกที่เสียผลประโยชน์เพราะพล.อ.ประยุทธ์ไปขวางทางทำมาหากิน พวกที่โกรธเพราะนายกฯไม่ยอมเออออห่อหมกไปกับการเรียกรับผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ กลุ่มนี้ประกอบด้วยอดีตนายตำรวจใหญ่ นายทหารใกล้ชิดพล.อ.ประวิตร และ ส.ว.ขั้วตรงข้ามรัฐบาล ที่สุดก็เดินเกมส์เป่าหูส.ส.ที่รู้จักให้ล้มนายกฯระหว่างศึกซักฟอก อีกฝากก็มีกระแสข่าวหนาหูในแวดวงการเมืองเท็จจริงไม่มีใบเสร็จให้เห็น แต่พูดกันหนักลือกันไปทั่วทุกแวดวงว่าคนแดนไกลอย่างโทนี่ วู้ดซั่ม ประสานงานผ่านลูกน้องเก่าอย่างร.อ.ธรรมนัสหวังล้มกระดานนายกฯ ถึงขนาดลงทุนควักเงิน 3 พันล้าน เป็นค่าแรงลงขันให้คว่ำพล.อ.ประยุทธ์หักขาลุงตู่ให้จงได้ สุดท้ายปลายทางจึงกลายเป็นการรวมพลังหวังเชือดพล.อ.ประยุทธ์กลางศึกซักฟอกด้วยประการละฉะนี้
อย่างไรก็ตามคนดีพระคุ้มครองดวงแข็งอย่างพล.อ.ประยุทธ์เป็นบุคคลประเภทตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แผนอุบาทว์ที่ว่าเลยล่องจุ๊นไม่สำเร็จสมใจคนชั่ว เพราะพล.อ.ประยุทธ์สามารถแก้ทางแก้ไขปัญหาได้ก่อนจึงไม่ตกหลุมพรางดังกล่าว แม้จะรอดสันดอนจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจมาได้แต่ก็ต้องลุ้นกันสุดๆ ล็อบบี้ส.ส.ในพรรคกันอุตลุตคุยกับผู้แทนพรรคเล็กกันจ้าละหวั่น โชคดีแก้ปัญหาได้ทันไม่ตกม้าตายกลายเป็นผู้นำที่ถูกไม่ไว้วางใจคาสภา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นนับเป็นจุดแตกหักสำคัญระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับร.อ.ธรรมนัสที่ทำให้สังคมรับรู้ความร้าวฉานที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐสะเทือนถึงเสถียรภาพรัฐบาล
“ วันนี้ที่เป็นข่าวมีอยู่ 2-3 เรื่องคือการโหวตล้มนายกฯ ถ้ามันจริง ผมถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษ เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาทำอย่างนั้น ทำไปเพื่ออะไร ผมเข้ามาก็ทำงาน 100% ทุกเรื่อง ดังนั้นที่มีข่าวว่าจะไปรวมคะแนนเสียงโหวต จริงไม่จริงผมไม่ทราบ ผมถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษ ส่วนที่ 2 อาจมีการปล่อยข่าวว่าผมจะยุบสภา ทุกคนก็ตื่นตระหนก และไปพูดทำนองเรื่องของกำลังคน ทำให้นายกฯไม่มีอำนาจยุบสภา และเรื่องที่ 3 มีการแอบอ้างหรือเปล่า ผมยืนยันว่าทุกเรื่องแอบอ้างทั้งสิ้น…..การแอบอ้างเบื้องสูงว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ ถือว่าผิดอย่างร้ายแรง ผมคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสถวายข้อราชการ คนอื่นไม่มี ชัดเจนไหม” เป็นความจริงม้วนเดียวจบที่พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์กับสื่อ ก่อนเข้าประชุมสภาระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 2 เมื่อ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา นายกฯคอนเฟริมส์ชัดเจนว่า 1.มีขบวนการต้องการคว่ำตัวเองระหว่างศึกซักฟอกจริง 2. มีข่าวลือยุบสภา และ 3.แอบอ้างว่าสถาบันต้องการเปลี่ยนตัวนายกฯ
แต่ละเรื่องล้วนร้ายแรงสุดๆ เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือตั้งใจเขี่ยพล.อ.ประยุทธ์พ้นจากอำนาจหลุดจากตำแหน่งสร.1 อย่างหนักหน่วงรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่นายกฯเข้ามาควบคุมอำนาจและบริหารประเทศเกือบ 7 ปี หลังตัดสินใจรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อ 22 พ.ค. 2557 เรื่องอื่นยังพอพูดคุยยังพออภัยให้กันได้ แต่การมาปล่อยข่าวว่าเบื้องบนไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์เบื้องสูงต้องการเปลี่ยนตัวผู้นำประเทศ คนเป็นทหารเสือราชินีคนเป็นทหารรักษาพระองค์คนเป็นข้าราชการพลีกายรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาตลอดชีวิต เจอปล่อยข่าวแอบอ้างบิดเบือนแบบนี้ เป็นใครก็โกรธสุดชีวิตเดือดดาลสุดพลัง เพราะไม่คิดว่าคนกันเองจะเล่นกันหนักล่อกันเจียนตายถึงขนาดนี้ ที่สุดเรื่องที่ว่านี้ก็กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจปลดฟ้าผ่าร.อ.ธรรมนัสกับนฤมลพ้นความเป็นรัฐมนตรีจากการร่วมรัฐบาล โดยมีพระบรมราชโองการฯให้ทั้ง 2 คนพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีลงมาเมื่อ 8 ก.ย. ก่อนที่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นความวุ่นวายสารพัดเรื่อง และทำให้ร.อ.ธรรมนัสสร้างเรื่องราวมากมาย จนกลายเป็นหอกข้างแคร่นายกฯ เป็นเสี้ยนตำตีนรัฐบาล เป็นมหากาพย์ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ความวุ่นวายยังไม่หยุดและไม่รู้ว่าจะไปจบลงตรงไหน
////////////////