พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ออกมาโพสต์ เฟซบุ๊กระบุว่า เช้านี้ 18 ธ.ค.68 เวลา 9.00 น. ผมไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสุดท้ายในคดีที่ นาย สิระ เจนจาคะ ฟ้องผมข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา…ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ที่กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พูดสั้นๆว่า “ผมชนะครับ” ก่อนที่ท่านผู้พิพากษาจะอ่านคำพิพากษาคดีผม ท่านอ่านคำพิพากษาคดีอื่น และมีคดีหนึ่งที่จำเลยไม่มาฟังคำพิพากษา ท่านผู้พิพากษาจึงมีคำสั่งให้ออกหมายนำตัวจำเลยมาศาล
"หมอเหรียญฯ" เล่านาทีต่อนาที ลุ้นฟังคำพิพากษา "ศาลฎีกา" ยืนยกฟ้อง "สิระ" เอาผิดคดีหมิ่นประมาท
ข่าวที่น่าสนใจ
ไอ้ผมกับทนายก็คุยกัน ส่งเสียงรบกวนท่านผู้พิพากษา ท่านจึงพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน…ผมก็ตกใจนึกว่าท่านเรียกผม…ผมจึงลุกขึ้นยืนตรง…ท่านก็พูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าดุดัน ดุผมว่า “เบาๆหน่อย”…ผมจึงรู้ว่ายังไม่ถึงคดีผม แล้วผมก็หุบปากหยุดพูดคุยกับทนาย
เมื่อถึงคดีผม คดีนี้ นาย สิระ เจนจาคะ ฟ้องผมข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกผม 3 ปี ปรับ 3 แสนบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา คดีนี้ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นให้มีการไกล่เกลี่ย ถึงแม้ผมจะตกเป็นจำเลยที่สุ่มเสี่ยงต่อคำพิพากษาให้จำคุกก็ตาม แต่ผมไม่ไกล่เกลี่ย เพราะผมรู้ดีว่า นาย สิระ เจนจาคะ ซึ่งเป็นโจทก์ ต้องการฟ้องผมเพื่อขอไกล่เกลี่ยเพื่อขอให้ผมถอนฟ้องในคดีที่ผมและ รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็นโจทก์ ฟ้องนาย สิระ ข้อหาบุกรุก รพ.สนาม และหมิ่นประมาท โดยคดีเดียวแลกกับหลายคดีที่ นาย สิระ ฟ้องผม ผมยอมสุ่มเสี่ยงติดคุกหลายคดีที่ นาย สิระ ฟ้อง ไม่ยอมถอนฟ้องคดีเดียวที่ผมฟ้อง นาย สิระ หรอกครับ เพราะผมประกาศต่อสาธารณะว่า “การบุกรุก รพ.สนามโดย นาย สิระ เจนจาคะ ทำให้ รพ.สนาม ไม่สามารถรับการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ในเดือน พ.ค.64 ซึ่งเป็นสถานการณ์ระบาดสายพันธุ์ที่รุนแรงมีอัตราการเสียชีวิตสูง การเปิด รพ.สนามล่าช้าไป 7 วัน ทำให้ผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนักจัดชั้นสีแดง ไม่สามารถรับย้ายเข้า ไอ ซี ยู สนามได้ และต้องเสียชีวิต ครั้งนั้นผมประกาศว่าผมจะไม่มีการยอมความกับ นาย สิระ เจนจาคะ เด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นบรรทัดฐานการกร่างของนักการเมืองจนทำให้ชีวิตผู้ป่วยหลายรายเสียโอกาสในการมีชีวิต”
ดังนั้นการไกล่เกลี่ยหน้าบัลลัง นาย สิระ จึงไม่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ผมและทีมทนายจะสัมผัสได้ว่า “การต่อสู้คดีนี้ในศาลชั้นต้นนั้น ผมน่าจะแพ้และต้องโทษจำคุกก็ตาม” 25 ก.ย.65 ผมฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกผม 3 ปี ปรับ 3 แสนบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี มีการเผยแพร่ข่าวทุกสำนักครึกโครม…แต่ผมก็ยังคง “แป๊ะยิ้ม” แล้วเดินหน้าอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นทันที เมื่อปี พ.ศ.2567 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็น ‘ยกฟ้อง’ หมายความว่า “ผมชนะ ไม่ต้องโทษจำคุก ไม่ต้องถูกปรับ ไม่ต้องรอลงอาญา” … มีสื่อไม่กี่สำนักเผยแพร่…นาย สิระ จึงขอฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพื่อจะกดดันให้ผมต้องโทษจำคุกให้ได้
เช้าวันนี้ 18 ธ.ค.68 ผมไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ท่านผู้พิพากษาสรุปคำพิพากษาสั้นๆ ว่า “ยืน”
ไอ้ผมก็ ‘ยืน’ ฟังอยู่แล้ว กำลังคิดว่าท่านผู้พิพากษาจะพูดอะไรต่อ ท่านผู้พิพากษาก็พูดสั้นๆอีกครั้งว่า “ยืน” ผมก็คิดว่า “ท่านผู้พิพากษาคงจะเน้นย้ำว่าให้ “ยืน” ดีๆ ปกติแล้วผมเป็นคน “ยืนตรง” ตามแบบธรรมเนียมทหารของผมอยู่แล้ว จนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์สะกิดผม “นั่งได้ครับ ท่านผู้พิพากษาบอกว่า ‘ยืน’ หมายถึง ‘ยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์’”…ผมจึงตอบท่านผู้พิพากษาว่า “ขอบพระคุณมากครับ”
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ18 ธ.ค.68 เวลา 11.49 น.
หมายเหตุ
1. ต้นปีหน้า วันที่ 19 ม.ค.69 ผมและพวก ผม ในฐานะ ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ + ลูกชาย ในฐานะ หัวหน้าศูนย์โรคมะเร็ง + หัวหน้าพยาบาล + พนักงานบริการลำเลียงผู้ป่วย จะขึ้นศาลอาญาใหม่อีกครั้งในคดีไอ้กุ๊ยสูบบุหรี่เสพเฮโรอีนใน รพ.มงกุฎวัฒนะ ที่ผมและพวกไม่ยอมไกล่เกลี่ยกับไอ้กุ๊ยสูบบุหรี่เสพเฮโรอีน ไร้มารยาทสังคม ทำลายชีวิตและสุขภาพของผู้ป่วย-ผู้ใช้บริการ-บุคลากรใน รพ.มงกุฎวัฒนะ …ผมกับพวกจะสู้ไม่ให้สังคมไทยตกอยู่กับกฎหมายหน่อมแน้มคุ้มครองเยาวชน จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ …พวกเราสู้จนถึงที่สุด พวกเรา รพ.มงกุฎวัฒนะ ไม่ขอยอมจำนนกับพวกอันธพาล ไร้มารยาทสังคม ก่อความเดือดร้อนต่อสังคมโดยรวมหรอกครับ พวกเราจึงไม่ยอมไกล่เกลี่ยตามศาลชั้นต้นเจ้าของสำนวนไงล่ะครับ
2. ใครก็ตามที่สูบบุหรี่ เสพสารเสพติด แสดงพฤติกรรมอันธพาลใน รพ.มงกุฎวัฒนะ พวกเรายังคงจัดการอย่างรุนแรง ไม่เกรงใจใครนะครับ … นี่คือ มาตรฐานความปลอดภัย สะอาด สงบสุขเรียบร้อย ของ รพ.มงกุฎวัฒนะครับ…ใครไม่พอใจ ผมขอเชิญไปใช้บริการ รพ.อื่น รพ.มงกุฎวัฒนะไม่ต้องการครับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

