10 ตุลาคม 2568 พลตรีนายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า นี่คือการให้ความเท็จให้ร้ายโดย ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช ผ่านรายการเจาะลึกฯ ซึ่งผมเพิ่งทราบเมื่อใกล้เที่ยงคืนนี้ ผมจะดำเนินคดีหมิ่นประมาทพ่วงแพ่งกับ ทพ.อรรถพร เร็ว ๆ นี้

ท่านทั้งหลายได้โปรดแชร์ให้ทราบทั่วกันว่า เมื่อเช้าวันที่ 9 ต.ค.68 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทยฯ’ ที่ดำเนินรายการโดยคุณ ดนัย(หมาแก่) เอกมหาสวัสดิ์ และคุณ อมรรัตน์
ด้วยสาระอันเป็นความเท็จทั้งสิ้นที่ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ได้เผยแพร่ต่อสาธารณะสรุปพอสังเขปดังต่อไปนี้
ประเด็นที่ 1 : คดีฟ้องศาลปกครอง เมื่อ ส.ค.-ก.ย.65
ทพ.อรรถพร ใส่ความเท็จมีสาระโดยสรุปคร่าวๆว่า รพ.มงกุฎวัฒนะ โดยผมได้ทำหนังสือขอเลิกสัญญาขอถอนตัวออกจากระบบบัตรทอง แล้ว เลขาธิการ สปสช (นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี) ก็ทำหนังสือยินดีให้ รพ.เลิกสัญญา แต่ผมกลับใจแป้ว ใจป๊อด กลัวหัวหด กลับใจ ไม่อยากให้ รพ.มงกุฎวัฒนะต้องออกจากระบบบัตรทอง ผมจึงไปฟ้องศาลปกครอง และขอไกล่เกลี่ยกับ สปสช เพื่อทำสัญญาต่อ
ผมขอเรียนความจริงว่า รพ.มงกุฎวัฒนะโดยผมทำหนังสือถึง ผอ.สปสช.เขต 13 (ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์) เพื่อขอ ‘ลด’ จำนวนประชากรสิทธิบัตรทองขึ้นตรงกับ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไม่ได้ขอ ‘เลิก’ นะครับ
แต่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดเหนือ ผอ.สปสช เขต 13 ทราบเรื่องดังกล่าวจึงทำหนังสือด้วยตนเองถึง รพ.มงกุฎวัฒนะเพื่อบอก ‘เลิก’ สัญญา
หนังสือบอก ‘เลิก’ สัญญาโดย นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เป็นการบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขัดต่อ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าฯ และกฎหมายต่างๆ …ผมจึงฟ้องศาลปกครอง
ในที่สุด สปสช ได้ทำเรื่องถึงตุลาการเจ้าของคดี ศาลปกครองเพื่อขอเจรจากับ รพ.มงกุฎวัฒนะ โดยศาลมีคำสั่งให้ทั้ง สปสช และ รพ.มงกุฎวัฒนะมาไกล่เกลี่ยหน้าบัลลังก์ในวันที่ 28 ก.ย.65
สปสช นำโดย ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ได้ขอร้องให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ โดยผมยอมต่อสัญญาลงนามในวันที่ 30 ก.ย.65 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ เป็นคนนำสัญญามาให้ผมลงนามถึงที่ รพ.มงกุฎวัฒนะด้วยตนเองเชียวนะครับ
แต่ ทพ.อรรถพร คนเดียวกันนี้กลับให้สัมภาษณ์กับคุณดนัย-คุณอมรรัตน์ คนละเรื่อง คนละฟากโลก บิดเบือนสาธารณชนให้เข้าใจ รพ.มงกุฎวัฒนะและเข้าใจผมในทางเสื่อมเสียเป็นอย่างมาก
ประเด็นที่ 2 : คดีฟ้องศาลปกครอง เมื่อ พ.ค.64
รพ.มงกุฎวัฒนะโดยผมฟ้องศาลปกครองมีคำสั่งให้ สปสช ชำระหนี้ค่ารักษาพยาบาลกรณีส่งตัวผู้ป่วยจากคลินิกซึ่งเป็นคู่สัญญาของ สปสช แต่ถูก สปสช บอกเลิกสัญญาจากการทุจริตในระหว่าง ก.ค.-ก.ย.63 จำนวนเงินรวม 13.2 ล้านบาทเศษ …คดียังอยู่กับศาลปกครอง ยังไม่มีการไต่สวนใด ๆ
ทพ.อรรถพร ใส่ความเท็จมีสาระโดยสรุปคร่าวๆว่า หนี้ 13.2 ล้านบาทเศษนั้นเป็นหน้าที่ของ รพ.มงกุฎวัฒนะต้องไปทวงหนี้จากคลินิกทั้งหลายเอง แต่ สปสช ก็เมตตาช่วยทวงหนี้มาให้ รพ.มงกุฎวัฒนะได้ประมาณ 4 ล้านบาท คงเหลือหนี้ที่ยังค้างอยู่ 8 ล้านบาทเศษ
ผมขอเรียนความจริงว่า รพ.มงกุฎวัฒนะไม่ใช่คู่สัญญากับคลินิก ดังนั้น รพ.มงกุฎวัฒนะจึงไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะไปทวงหนี้จากคลินิก
สปสช เป็นคู่สัญญากับ รพ.มงกุฎวัฒนะ มีบทบาทหน้าที่ตามกฎหมายในการเป็น ‘ตัวกลาง’ ในการหักเงินจากคู่สัญญา หรือที่ สปสช เรียกตนเองว่าเป็น ‘เคลียริ่งเฮ้าส์ [Clearing house]’
ดังนั้น สปสช ซึ่งเป็นคู่สัญญากับคลินิกจึงมีสิทธิตามกฎหมายในการทวงหนี้จากคลินิกมาให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ โดย สปสช จะเป็นผู้รับชอบหนี้ดังกล่าว เนื่องจาก สปสช เป็นผู้ร้องขอให้ รพ.มงกุฎวัฒนะรับการส่งตัวผู้ป่วยจากคลินิกที่ สปสช บอกเลิกสัญญา
นี่แหละครับการสัมภาษณ์ฝ่ายเดียวโดย ทพ.อรรถพร ที่ปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ อาศัยความสัมพันธ์ที่มีกับสื่อตามตำแหน่งหน้าที่ของตนเองบิดเบือนสาธารณชนให้เข้าใจ รพ.มงกุฎวัฒนะและเข้าใจผมในทางเสื่อมเสีย
ประเด็นที่ 3 : สปสช ไม่ได้เป็นหนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะเกิน 100 ล้านบาท เป็นหนี้แค่ 37 ล้านบาท
ทพ.อรรถพร ใส่ความเท็จมีสาระโดยสรุปคร่าว ๆ ว่า
1. หนี้ปีงบประมาณ 63 จำนวน 13.2 ล้านบาทจากกรณีส่งตัวผู้ป่วยจากคลินิกทุจริตที่ สปสช ยกเลิกแล้วขอส่งตัวมายัง รพ.มงกุฎวัฒนะ นั้นไม่ถือว่า สปสช เป็นหนี้ แต่คลินิกต่างๆเป็นหนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะ
คลินิกต่างๆไม่ใช่คู่สัญญา รพ.มงกุฎวัฒนะ แต่เป็นคู่สัญญากับ สปสช ซึ่งออกสเตตเม้นต์รับรองยอดหนี้ที่ สปสช รับรองกับ รพ.มงกุฎวัฒนะ …สปสช จะปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่เป็นหนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะได้อย่างไรกันล่ะครับ
2. หนี้ปีงบประมาณ 67 จำนวนมากกว่า 41.7 ล้านบาทจากกรณีส่งตัวผู้ป่วยจาก 35 คลินิกตามโมเดล 5 ระหว่างวันที่ 1 มี.ค.67-30 ก.ย.67 ที่มติบอร์ด สปสช จ่ายค่าบริการกรณีส่งตัวผู้ป่วยจากคลินิกตามโมเดล 5 เป็น ‘ระบบการจ่ายตาม Fee Schedule’
ซึ่ง นพ.ดุสิต ใจขำคม รองเลขาธิการ สปสช ได้แถลงต่อสื่อมวลชนและ สปสช ได้โพสต์ลงเพจสำนักงานหลักประกันสุขภาพชาติ เผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อ 8 ก.ย.68 ที่ผ่านมา
แต่ ทพ.อรรถพร ให้สัมภาษณ์ว่า บอร์ด สปสช ให้นำ ‘ระบบแต้ม’ หรือ ‘Point system’ ที่เริ่มใช้ในปีงบประมาณ 68 แต่เอาบังคับใช้ปีงบประมาณ 67 แทนมติบอร์ด สปสช ปีงบประมาณ 67 ที่กำหนดให้ใช้ ‘ระบบการจ่ายตาม Fee Schedule’ ทำให้หนี้ 41.7 ล้านบาทที่ รพ.มงกุฎวัฒนะยังไม่ได้รับเงินแล้ว ยังต้องถูกเรียกเงินคืนอีก 38 ล้านบาทเศษอีกด้วย…สปสช โคตรโกงไหมล่ะครับ
3. หนี้ปีงบประมาณ 68 ระหว่าง ก.ค.-ส.ค.68 จำนวน 69 ล้านบาท ยังไมรวมหนี้เดือน ก.ย.68 อีกประมาณ 50 ล้านบาท
รวมยอดหนี้ตามข้อ 1 ถึง 3 ณ สิ้นเดือน ก.ย.68 ก็มากกว่า 100 ล้านบาทแล้ว แต่ ทพ.อรรถพร ก็ยังบิดเบือนสาธารณะผ่านรายการคุณดนัย-คุณอมรรัตน์ หน้าด้านๆอีกว่า “เป็นหนี้แค่ 37 ล้านบาท” …ใครโกหกกันแน่ครับ
หนี้จำนวนดังกล่าวผมไม่มีโอกาสชี้แจงในรายการคุณดนัย-คุณอมรรัตน์ แต่ผมได้ชี้แจงต่อหน้า ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ขณะที่ ทพ.อรรถพร จัดแถลงข่าวที่ โรงแรมเซ็นทารา ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ จน ทพ.อรรถพร ต้องนำยอดหนี้ตามข้อ 1 และ 2 กลับไปรายงานบอร์ด สปสช
แต่การให้สัมภาษณ์ผ่านรายการคุณดนัย …ผมได้กลายเป็นคนขี้โกหกไปแล้ว นี่คือการให้ความเท็จต่อบุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นสาธารณชนจำนวนมากให้เข้าใจผมและ รพ.มงกุฎวัฒนะในทางที่ผิดและเสื่อมเสีย
ผมจะดำเนินคดีอาญาและแพ่งกับ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ และ/หรือ สปสช. ในทางกฎหมายเร็วๆนี้
และขอให้สาธารณชนคอยติดตามสถานการณ์ที่คาดว่า สปสช จะหาเรื่องบอกเลิกสัญญา รพ.มงกุฎวัฒนะในเร็ว ๆ นี้ หรือในอนาคตกันนะครับ