“ดีเอสไอ” รับคำร้อง DE ยื่นสอบเอกชน ทำธุรกิจสแกนม่านตา แลกเหรียญคริปโต เป็นคดีพิเศษแล้ว เผยเสี่ยงถูกนำใช้ผิดกม.

กรมสอบสวนคดีพิเศษ แจ้งความผิด พ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา 14 บริษัทสแกนม่านตาแลกเหรียญดิจิทัล จากประเทศสิงคโปร์ หวั่นข้อมูลคนไทยกว่า 1.2 ล้านคน อาจถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ

“ดีเอสไอ” รับคำร้อง DE ยื่นสอบเอกชน ทำธุรกิจสแกนม่านตา แลกเหรียญคริปโต เป็นคดีพิเศษแล้ว เผยเสี่ยงถูกนำใช้ผิดกม. – Top News รายงาน

 

ดีเอสไอ

 

หลังจากมีการเผยแพร่ภาพที่เป็นการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และบริษัท Prime Opportunity Fund VCC Singapore สมัยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีพยาน เช่น นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อดีตปลัดดีอี , ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า , ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์  และนายเบน สมิธ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด วันนี้ (10 ธ.ค.) มีรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับคดีบริษัทสแกนม่านตาแลกเหรียญดิจิทัล เป็นคดีพิเศษแล้ว ในฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพ์ มาตรา 14 หลัง นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สั่งยกเลิก “MOU ดีอี และบริษัทสิงคโปร์ Prime Opportunity Fund” เหตุ พบภาพการลงนาม MOU โยง “เบน สมิธ” พร้อมประสาน “DSI และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.)” ช่วยตรวจสอบ

ด้าน DSI ระบุ สอบปากคำพยานบริษัทเหรียญดิจิทัลชื่อดังของไทยไปแล้ว หลังพบเชื่อมโยงทำกิจกรรมกับ “เหรียญ Worldcoin” ชี้พบข้อมูลคนไทยกว่า 1.2 ล้านคน ถูกบันทึกข้อมูลสแกนม่านตา เหตุเชื่อว่าแค่สแกนม่านตาจะได้รับเหรียญดิจิทัล แต่ข้อมูลสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่า “ม่านตาเทียบเท่ากับดีเอ็นเอ” สามารถใช้ยืนยันอัตลักษณ์บุคคลได้ ซึ่งข้อมูลสแกนม่านตาเหล่านี้ อาจถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ และอาจเป็นการปกปิดข้อมูลประชาชน

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ดีอีให้ความสำคัญและส่งเสริมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence (AI)) และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ใช้ในการ “ยืนยันความเป็นมนุษย์”

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของผู้ให้บริการที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลประเภท “ข้อมูลชีวภาพ” จะต้องมีความชัดเจนและต้องทำภายใต้กรอบที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกำหนด เพื่อไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

 

 

 

 

คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ได้พิจารณารายละเอียดธุรกิจ “สแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโต” ซึ่งมีลักษณะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลประเภท“ข้อมูลชีวภาพ”รวมถึงพยานหลักฐาน และคำชี้แจงของผู้ให้บริการธุรกิจดังกล่าวพบว่า การขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเก็บรวบรวม “ข้อมูลชีวภาพ” ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลประเภทข้อมูลอ่อนไหว มิได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดกล่าว คือ ผู้ให้บริการได้ใช้วิธีจูงใจประชาชนด้วยการมอบเหรียญคริปโตเคอเรนซีเป็นค่าตอบแทน เพื่อแลกกับการให้ความยินยอมในการเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา

 

ทั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการขอความยินยอมที่ไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนั้นการแจ้งวัตถุประสงค์ในขั้นตอนการขอความยินยอมแจ้งว่าเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่จากการตรวจสอบพบว่า ผู้เคยสแกนม่านตาไปแล้วไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงชี้ให้เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันถึงตัวบุคคลที่สแกนไปแล้วด้วย การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจึงเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมตั้งแต่แรก

ด้าน พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวว่า ภายหลังจากการพิจารณาพยานเอกสาร พยานวัตถุ และคำชี้แจงของผู้ให้บริการ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 ได้มีคำสั่งทางปกครองดังนี้

1. ให้ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลม่านตา ระงับหรืองดการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลในรูปแบบการสแกนม่านตาเพื่อรับเหรียญคริปโตเคอเรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวต่อ สคส. ภายใน 7 วัน

2. ให้ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ลบทำลายข้อมูลม่านตาและข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชนจำนวน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย

 

การมีคำสั่งให้ดำเนินการดังกล่าว เป็นไปเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่รั่วไหล และไม่ให้นำเอาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปใช้โดยไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การซื้อขาย หรือใช้ประโยชน์ทางพาณิชย์โดยไม่ถูกต้อง ซึ่งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะที่ 2 เป็นไปตามกรอบกฎหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) และเป็นไปตามมาตรการสากลโดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบประเทศอื่นๆไม่น้อยกว่า 8 ประเทศได้มีการแบนการดำเนินการนี้ไปแล้วเช่นกัน โดยประเทศที่มีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมัน สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล

 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากการตรวจพบการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นที่น่าสงสัยอื่นๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญเพื่อนำไปให้บุคคลอื่นใช้ โดยการตรวจสอบขยายผลของ ก.ล.ต.และตำรวจไซเบอร์ได้ตรวจพบและมีการจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย จึงเป็นเหตุสงสัยว่าอาจมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความผิดตามกฎหมายอื่นๆอีกซึ่งในส่วนนี้จะได้มีการสืบสวนขยายผลโดยเจ้าหน้าที่ DSI และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องต่อไป

เลขาธิการ สคส. เน้นย้ำว่า สคส. หรือ PDPC ให้ความสำคัญสูงสุดกับการคุ้มครองข้อมูลอ่อนไหวของประชาชน โดยเฉพาะข้อมูลชีวภาพ (Biometric Data) โดยการระงับการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อ “ป้องกันความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่ถูกกฎหมาย และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่เพื่อความสงบเรียบร้อยและสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน โดย “ไม่เป็นการปิดกั้นการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการยืนยันความเป็นมนุษย์” แต่อย่างใด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"แม่ทัพกุ้ง" เกาะติดสถานการณ์รบชายแดน มั่นใจเขมรเจตนายิง BM-21 ถล่มรพ.พนมดงรัก แต่พลาดเป้าหมาย
มวล. ผนึก 19 องค์กรกระบี่ ดันโครงการ WIL ปั้นบัณฑิตท่องเที่ยว–โรงแรมสู่มาตรฐานสากล
“สยามทีวีจุดกระแสอุ่นรับหน้าหนาว!”กว่า 10 แบรนด์ดังระดับโลก พร้อม ส่วนลดสูงสุด 50%
สื่อกัมพูชาจับผิดพิธีเปิดซีเกมส์ของไทย
สิงคโปร์เรียกร้องไทย-กัมพูชาแก้ปัญหาด้วยการเจรจา
ฮุนเซนขอรับบริจาคข้าวคั่วป่นให้ทหาร-ผู้หนีภัยกัมพูชา

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​