“ดร.โอฬาร” กระตุกสังคม อย่าโดนปั่นความรู้สึก ชี้ภาพเก่า “อนุทิน” ไม่ใช่หลักฐานบอกใครผิด แนะต้องดู 4 ข้อ สำคัญกว่า

"ดร.โอฬาร" กระตุกสังคม อย่าโดนปั่นความรู้สึก ชี้ภาพเก่า "อนุทิน" ไม่ใช่หลักฐานบอกใครผิด แนะต้องดู 4 ข้อ สำคัญกว่า

 

“ดร.โอฬาร” กระตุกสังคม อย่าโดนปั่นความรู้สึก ชี้ภาพเก่า “อนุทิน” ไม่ใช่หลักฐานบอกใครผิด แนะต้องดู 4 ข้อ สำคัญกว่า

ข่าวที่น่าสนใจ

5 ธันวาคม 2568 รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า การเมืองเรื่องภาพถ่าย : เมื่อ “ภาพร่วมเฟรม” ไม่ได้บอกทุกอย่าง แต่ “เส้นทางเงิน” บอกได้มากกว่า

 

สังคมกำลังให้ความสนใจกับภาพถ่ายที่ปรากฏนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล และดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ทั้งที่เป็นรูปถ่ายเมื่อหลายปีก่อน

จนเกิดการตีความไปไกลว่าภาพเหล่านี้อาจสะท้อนความเชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์และกลุ่มธุรกิจสีเทา บางฝ่ายถึงขั้นโยงเป็นเครือข่ายแรงจูงใจเชิงการเมือง

แต่แท้จริงแล้ว การเมืองเรื่อง “ภาพถ่าย” มักทำงานแบบง่ายเกินความจริงเพราะภาพถ่ายเพียงใบเดียว ไม่ได้เป็นหลักฐานชี้ขาดต่อความสัมพันธ์เชิงลึกใด ๆ

 

ภาพถ่ายถ่ายกับใครก็ได้ แต่เงินสีเทาเดินทางไปหาใครต่างหากที่สำคัญ

ในโลกการเมือง ภาพถ่ายอาจเป็นเพียงมารยาททางสังคม การร่วมงาน การพบปะ หรือแม้แต่ความบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักการเมือง คนดัง หรือผู้มีตำแหน่งสาธารณะจะมีภาพกับบุคคลหลากหลาย ทั้งผู้สนับสนุน ผู้มาติดต่อ หรือแม้แต่ผู้ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ในระดับนโยบาย

ดังนั้นใครถ่ายรูปกับใครจึงไม่ใช่หลักฐานที่บอกความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ได้อย่างตรงไปตรงมา และไม่ควรนำภาพมาใช้แทนข้อเท็จจริงเชิงโครงสร้าง

สิ่งที่ควรตรวจสอบจริง ๆ คือ “เส้นทางการเงิน”เพราะเงินไม่เคยโกหก ไม่ว่ากลุ่มสแกมเมอร์หรือธุรกิจสีเทาจะปกปิดตัวเองเก่งแค่ไหน

สุดท้ายเงินย่อมมีร่องรอยว่าถูกส่งไปที่ใคร ผ่านบัญชีใด และใครเป็นคนรับผลประโยชน์ยุทธศาสตร์จากมัน

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่หลายประเทศใช้การตรวจสอบเงินแทนการดูภาพ เพราะ ภาพถ่ายเป็นเพียงเงา แต่การเคลื่อนของเงินคือ “ตัวจริง” ที่สะท้อนความสัมพันธ์ทางอำนาจ

ภาพถ่ายกับทักษิณก็เคยเกิดขึ้นแต่การเมืองไม่ควรถูกตีความด้วยอารมณ์

ก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีภาพถ่ายร่วมรับประทานอาหารระหว่างบุคคลบางคนกับนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกตีความว่าเป็นสัญลักษณ์ของการดึง “จิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย” หรือเป็นการสร้างเครือข่ายอิทธิพล แต่เมื่อย้อนดู เส้นทางการเมืองจริงไม่ได้เป็นไปตามภาพที่ตีความเลย

นี่เป็นตัวอย่างสำคัญว่า ภาพถ่ายอธิบายการเมืองได้เพียงบางชั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
เพราะการเมืองจริงเดินด้วยผลประโยชน์เชิงนโยบาย เครือข่ายทางธุรกิจ และการสนับสนุนทางการเงิน ไม่ใช่ด้วยภาพถ่ายบนโต๊ะอาหาร

ประชาชนควรตั้งคำถามอะไร?

ไม่ใช่ถามว่า “ใครถ่ายรูปกับใคร”แต่ควรถามว่า

1) เงินจากกลุ่มธุรกิจสีเทาไหลไปที่ไหน?

2) ใครเป็นผู้รับประโยชน์ในเชิงนโยบายหรืออำนาจ?

3) หน่วยงานรัฐตรวจสอบเส้นทางเงินอย่างโปร่งใสหรือไม่?

4) ภาครัฐปล่อยปละละเลยหรือมีบทบาทสนับสนุนทางอ้อม?

เมื่อเราตั้งคำถามให้ถูกจุดการเมืองเรื่อง “ภาพถ่าย” ก็จะถูกวางไว้ในที่ของมันเป็นแค่ประกอบภาพ แต่ไม่ใช่สาระสำคัญของปัญหา

”ภาพถ่ายเปลี่ยนความรู้สึก..แต่เส้นเงินเปลี่ยนความจริง“

สุดท้ายประชาชนควรระมัดระวังไม่ให้การรับรู้ถูกชี้นำด้วย “ภาพ” เพราะภาพมีพลังทางอารมณ์สูง แต่ขาดมิติของบริบท ขณะที่เส้นทางเงินมีความแม่นยำกว่า และสามารถชี้ให้เห็นความเกี่ยวข้องที่แท้จริงได้อย่างเป็นรูปธรรม

การเรียนรู้ทางการเมืองที่โตขึ้น คือ การเมืองที่ไม่หลงกับภาพ แต่ตั้งคำถามกับโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์ที่ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

รองผู้ว่าฯชัยภูมิ ร่วมเปิดงานครบรอบ 7 ปี โรบินสันไลฟ์สไตล์ชัยภูมิ เดินหน้าส่งเสริมผ้าไทยและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ไฟลุกกลางทาง! สาวขับเก๋งตื่นตกใจหักหลบ ชนเสาไฟพลิกคว่ำ รถไหม้วอด
พ่อค้าลอตเตอรี่พิการขา เสี่ยงชีวิต ลุยน้ำหวังช่วยคนจมน้ำ ผงะพบเป็นร่างแข็งแล้ว กลางหาดพัทยา
อภิสิทธิ์ ลุยระยอง พบผู้ประกอบการทุกภาคส่วน รับฟังปัญหาปากท้อง ยอมรับ ปชป. สรรหาผู้สมัคร ส.ส. ภาคตะวันออกล่าช้า แต่หวังได้คนที่เหมาะสมที่สุด
ชุมชนบ้านชากยายจีน จัดงานประเพณีขนมไทย สืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นแหลมฉบัง
สภ.หาดใหญ่แจงปมนำ “รถแม็คโคร” ยกรถเปิดทางน้ำท่วม เผยจำเป็นเพื่อให้รถพยาบาลผ่าน ช่วยชีวิตประชาชน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​