
ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (มวล.) ประสบความสำเร็จในการคิดค้น “ระบบเครือข่ายเตือนภัยพิบัติดินถล่มต้นทุนต่ำแบบเรียลไทม์” ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AIoT สุดล้ำ บูรณาการเครือข่าย LoRaWAN, การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้วย AI และโหนดเซ็นเซอร์พลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ระบบสามารถทำงานได้อัตโนมัติแม้ในภาวะวิกฤตที่ไฟฟ้าดับหรือสัญญาณอินเทอร์เน็ตล่ม สร้างความอุ่นใจและช่วยเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติช่วงมรสุมแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการวิจัยนี้เป็นผลงานของทีมนักวิจัยจากสำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ นำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.อจลวิชญ์ ฉันทวีโรจน์ พร้อมด้วย Asst. Prof. Dr. Eshrat E. Alah, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กรกต สุวรรณรัตน์ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จันทิรา รัตนรัตน์ ภายใต้การสนับสนุนจากมูลนิธิ Asia Pacific Network Information Centre (APNIC)



รองศาสตราจารย์ ดร.อจลวิชญ์ ฉันทวีโรจน์ หัวหน้าโครงการวิจัย เปิดเผยว่า พื้นที่ ต.เทพราช และ ต.สี่ขีด อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่เสี่ยงสูงที่ต้องเผชิญภัยพิบัติดินถล่มซ้ำซาก ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 1,000 ครัวเรือน ระบบเฝ้าระวังแบบดั้งเดิมยังขาดประสิทธิภาพและความรวดเร็ว ทำให้การตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินล่าช้า ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาระบบเตือนภัยนี้ขึ้นเพื่อบริหารจัดการภัยพิบัติเชิงรุก โดยใช้เทคโนโลยี AIoT (Artificial Intelligence of Things) ซึ่งผสมผสานอุปกรณ์ตรวจวัด IoT เข้ากับการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้สามารถตรวจวัด วิเคราะห์ และแจ้งเตือนภัยได้อย่างทันท่วงทีและเฉพาะจุด ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ระบบนี้ถูกออกแบบให้ทำงานผ่านเครือข่ายการสื่อสาร 2 ระดับ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการแจ้งเตือนจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในทุกสถานการณ์ โดยในภาวะปกติ อุปกรณ์เกตเวย์จะส่งข้อมูลจากโหนดเซ็นเซอร์ทั้ง 5 จุด ไปยังผู้ดูแลระบบเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงด้วย AI ก่อนแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน LINE และหน้าจอสรุปผลของเว็บไซต์ (Web Dashboard) แบบเรียลไทม์ ส่วนในภาวะฉุกเฉิน (ไฟฟ้าดับ/อินเทอร์เน็ตล่ม) ระบบสื่อสารสำรอง LoRaWAN จะส่งสัญญาณเตือนภัยโดยตรงไปยังผู้ดูแลระบบ ซึ่งจะใช้วิทยุสื่อสาร (ว.แดง) กระจายข่าวแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ทันที
โดยอุปกรณ์เกตเวย์และโหนดเซ็นเซอร์ทั้งหมดทำงานโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างอิสระตลอด 24 ชั่วโมง โดยโหนดเซ็นเซอร์ถูกติดตั้งในพื้นที่เสี่ยงเพื่อตรวจวัดค่าต่างๆ อย่างครบวงจร ทั้งการสั่นสะเทือน, ความชื้นในดิน, ปริมาณน้ำฝน และความลาดเอียง พร้อมระบบ GPS และระบบบันทึกข้อมูลสำรอง เพื่อความแม่นยำสูงสุด “ผมขอขอบคุณมูลนิธิ Asia Pacific Network Information Centre (APNIC) และโครงการ Information Society Innovation Fund (ISIF Asia) ผู้สนับสนุนทุนวิจัย และทีมผู้ช่วยนักวิจัยที่ทำให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี” รองศาสตราจารย์ ดร.อจลวิชญ์ กล่าวทิ้งท้าย


กัญญาณัฐ เพ็ญสวัสดิ์ ศูนย์ข่าว TOPNEWS ทั่วไทย ภาคใต้

