ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) ประธานสถาบันการสร้างชาติ(NBI) ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา(IFD) และนักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวถึงประเด็นหนี้ครัวเรือนไทย แก้อย่างไรให้ยั่งยืน ว่า การเป็นหนี้คือความทุกข์ที่สุด ใครเป็นหนี้เหมือน สุนัขจนตรอก อยู่ในกำมือของเจ้าหนี้ โดยเฉพาะหนี้บริโภค หรือหนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือบริโภคเกินตัว เป็นอันตรายมาก ซึ่งปัจจุบันหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มาจาก ‘หนี้บริโภค’ โดยครัวเรือนไทยมีอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 86.8 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 18.78 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ราวร้อยละ 82 และแม้จะลดลงจากระดับสูงสุดในไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ร้อยละ 90 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่น่ากังวล ซึ่งแต่ละครัวเรือนมีหนี้โดยเฉลี่ย 7 แสนบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 22 จากปีก่อน โดยพบว่า เป็นหนี้ในระบบ ร้อยละ 65 ส่วนหนี้นอกระบบมีประมาณร้อยละ 35 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด และอาจมีความรุนแรงในการทวงหนี้ สร้างความหวาดกลัวและทำให้ผู้กู้บางรายเลือกชำระหนี้นอกระบบก่อน แม้จะต้องละเลยหนี้ในระบบก็ตาม นอกจากนี้ “หนี้เสีย” หรือ NPL (Non-Performing Loan) ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้หนี้ครัวเรือนกลายเป็น “กับดักหนี้” ที่แก้ได้ยาก
ทั้งนี้ ดร.แดน ได้วิพากษ์เชิงนโยบายแก้หนี้ครัวเรือนของรัฐบาลนายอนุทิน ว่า แม้รัฐบาลได้ออกนโยบายจัดการหนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย ทั้งการพักชำระหนี้รายย่อย ,ตั้งกองทุนบริหารหนี้รายย่อย (AMC) เพื่อรวบรวมและซื้อหนี้เสีย (NPL) ข้ามสถาบันการเงิน มูลหนี้ที่ต่ำกว่า 100,000บาทและมาตรการลดดอกเบี้ย และขยายงวดการชำระหนี้ เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME)ก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ คือ 1) ปัญหาฐานข้อมูลและการบูรณาการข้อมูลหนี้ ซึ่งลูกหนี้หนึ่งรายอาจมีหนี้หลายบัญชี หรือมีเจ้าหนี้หลายราย ทั้งในและนอกระบบ แต่ระบบข้อมูลหนี้ของประเทศยังแยกส่วนกัน ขาดฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงระหว่างธนาคารของรัฐ เอกชน สถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) และหนี้นอกระบบ ส่งผลให้การประเมินศักยภาพการชำระหนี้ไม่ตรงตามความเป็นจริง ส่วนข้อกังวลที่ 2 เรื่องเกณฑ์การคัดกรองที่ไม่ครอบคลุม ซึ่งการใช้เกณฑ์คัดกรองเป็น “มูลหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท” เพียงอย่างเดียว แม้เป็นความตั้งใจแก้ไขปัญหาหนี้รายย่อย แต่ลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวอาจไม่ใช่รายย่อยจริง เพราะไม่ได้พิจารณาหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ทุกราย และเกณฑ์นี้อาจไม่สะท้อนความสามารถในการชำระหนี้จริงของลูกหนี้ เพราะไม่ได้พิจารณาสัดส่วนหนี้ต่อรายได้หรือ Debt Service Ratio (DSR) จึงอาจส่งผลให้กลุ่มเปราะบางบางรายไม่ได้รับความช่วยเหลือ ขณะที่บางรายที่มีรายได้สูงกว่าอาจได้รับสิทธิ์แทน



