วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นายเอกวุฒิ ชุมวรฐายี พาณิชย์จังหวัดพิจิตร, พ.จ.อ.สราวุธ โกสุมา ปลัดอาวุโส ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองพิจิตร และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ดำรงธรรมศาลากลางพิจิตร ร่วมกันรับเรื่องร้องทุกข์จากชาวนา จำนวน 14 ราย (ซึ่งน่าจะมีมากกว่านี้แต่ยังรวมตัวกันไม่ได้) ที่เดินทางมาจาก อ.ตะพานหิน ซึ่งตั้งใจจะไปร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมศาลากลางพิจิตร แต่สำคัญผิดจึงหลงมาที่ว่าการอำเภอเมืองพิจิตร
โดยชาวนากลุ่มนี้ นำโดย นายอานนท์ เจริญมา อายุ 38 ปี ชาวบ้านหมู่ 6 ต.ห้วยเกตุ อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ซึ่งเล่าว่า ตนเองทำนา 40 ไร่ ได้ข้าว จำนวน 29.5 ตัน จึงมำไปขายที่ท่าข้าวแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.วังหว้า อ.ตะพานหิน ซึ่งมี “เจ๊ปลา” นามสมมุติเป็นผู้มาเช้าท่าข้าวดังกล่าวรับซื้อข้าวจากชาวนา โดยตนเองได้ขายได้ตันละ 5,700 บาท รวมเป็นเงิน 183,852 บาท ในช่วงที่ขายข้าวเปลือกนั้นเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์โรงสี-ท่าข้าว อื่นๆ หยุดรับซื้อ แต่ท่าข้าวแห่งนี้เปิดรับซื้อจนเองและเพื่อนชาวนาทุ่งเดียวกันจึงนำข้าวเปลือกมาขายที่นี่ พอส่งมอบข้าวก็ได้แค่เพียงตั๋วชั่ง ยังไม่ได้เงินสด หลังจากนั้นก็ทวงถาม “เจ๊ปลา” ก็ทยอยผ่อนจ่ายเงินมาให้ครั้งละ 10,000 บาท รวมแล้วได้มา 30,000 บาท จากนั้นก็เงียบหายไป จากวันนั้นถึงวันนี้
เช่นเดียวกับ นางวันเพ็ญ สารีอรรถ อายุ 54 ปี ชาวนา ต.ห้วยเกตุ เล่าว่า จนเองและสามีทำนา 80 ไร่ ได้ข้าว 35 ตัน นำไปขายรวมเป็นเงิน 225,225 บาท ซึ่งขายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็ได้เงินเคยทวงถามก็ถูกผลัดผ่อนเคยรวมตัวจะไปแจ้งความที่ สภ.ตะพานหิน “เจ๊ปลา” ก็มาไกล่เกลี่ยบอกว่าไม่โกงแต่มีปัญหาหมุนเงินไม่ทัน ก็ทยอยจ่ายให้เพื่อประวิงเวลาก็ได้มาแค่ 30,000 บาท เช่นกัน
ส่วนเพื่อนชาวนาคนอื่นๆ ที่รวมตัวกันมาร้องทุกข์วันนี้ 14 ราย ก็ได้เงินทยอยจ่ายเช่นเดียวกับตน บางคนได้ 10,000 บาท บางคนได้ 30,000 – 50,000 บาท ทั้งๆ ที่ยอดเงินค้างชำระต่อรายนับแสนบาท แต่ก็ได้มาเพียงเท่านั้นรวมยอดที่ค้างชำระชาวนาทั้ง 14 ราย รวมแล้วน่าจะมากกว่า 1 ล้านบาท จึงทำให้มีความทุกข์เพราะไม่มีเงินใช้หนี้ ธกส. เจ้าหนี้ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าเช่านา ก็ทวงถามพวกเราชาวนาจนหนทาง
จึงตัดสินใจรวมตัวกันมาร้องทุกข์ดังกล่าวเพื่อขอให้ทางราชการประสานงาน สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนจังหวัดพิจิตรช่วยดำเนินการทางกฎหมายเพื่อช่วยเหลือชาวนาที่ขายข้าวเปลือกไม่ได้เงินในครั้งนี้ด้วย
