หลี่ จังเหลียง อดีตนักการทูตและผู้สังเกตการณ์ด้านกิจการระหว่างประเทศของจีนเผยแพร่บทวิเคราะห์ผ่านไชน่า เดลี่ สื่อทางการจีนเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมาภายใต้หัวข้อ “การจงใจโฟกัสที่กระบวนการสันติภาพไทย-กัมพูชามากเกินไปอาจทำให้หลงประเด็น”
หลี่กล่าวว่าวันที่ 14 ตุลาคม รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซียแถลงข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐจะเดินทางมาเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชาระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในวันที่ 26 ตุลาคมที่มาเลเซีย อย่างไรก็ตาม Politico สื่อสหรัฐได้เปิดเผยในภายหลังว่าสหรัฐได้ตั้งเงื่อนไขว่า “มาเลเซียต้องเห็นชอบให้ทรัมป์เป็นประธานในพิธีลงนามในข้อตกลง และต้องไม่ให้จีนเป็นส่วนหนึ่งของพิธีลงนามนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าจุดสนใจทั้งหมดจะรวมอยู่ที่ตัวทรัมป์คนเดียว” เมื่อถูกถามถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ก็มีคำตอบอย่างชัดเจนจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่า “จีนไม่ได้มีบทบาทในกระบวนการเจรจาเลย”
หลี่กล่าวต่อว่าแนวทางแก้ไขปัญหาที่กัมพูชาและไทยได้บรรลุร่วมกันภายใต้กรอบอาเซียน ควรจะเป็นแบบอย่างเชิงสร้างสรรค์ที่ส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค แต่เงื่อนไขของสหรัฐกลับทำให้นานาชาติตั้งคำถามถึงเป้าประสงค์ที่แท้จริงของสหรัฐฯ อีกทั้งยังขัดต่อฉันทามติของประเทศในภูมิภาคที่เชื่อในแนวทางการปรึกษาหารือและการเจรจาเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง นอกจากนี้ จีนก็มีบทบาทอย่างสร้างสรรค์นับตั้งแต่เกิดการเผชิญหน้า โดยได้พยายามไกล่เกลี่ยความขัดแข้งด้วยการเจรจา ผู้แทนพิเศษของจีนได้เดินทางไปยังไทยและกัมพูชาหลายครั้งเพื่อประสานการเจรจาระหว่างสองฝ่าย อีกทั้งผู้แทนสามฝ่ายคือจีน กัมพูชา และไทย ได้จัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อผลักดันการหยุดยิงอย่างแท้จริง รวมถึงการบรรลุ “ฉันทามติว่าด้วยสันติภาพ” ของรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งสามฝ่าย
หลี่ชี้ว่า “ประเทศใหญ่ควรวางตัวให้สมบทบาท” แม้จีนจะไม่ได้เคลมผลงานเหล่านี้ แต่ย่อมไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าจีนได้แสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ต่อการแก้ไขความขัดแย้งชายแดนกัมพูชา–ไทย อดีตนักการทูตจีนยังกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าพยายามฉกฉวยความดีความชอบและปิดกั้นบทบาทของจีนเพื่อยกตนเหนือผู้อื่น ทั้งบิดเบือนความจริง ซึ่งเผยให้เห็นถึงความใจแคบทางการเมือง และทำให้เกิดข้อสงสัยว่า แท้จริงแล้วสหรัฐฯ เป็น “ผู้สร้างสันติภาพ” หรือ “ผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากความพยายามของผู้อื่น” กันแน่
และในการเจรจาสันติภาพไทย-กัมพูชา สหรัฐฯ ยังคงใช้วิธีการกดดันข่มเหง โดยข่มขู่ว่าหากไทยกับกัมพูชาไม่ยอมบรรลุข้อตกลงหยุดยิงและกลับโต๊ะเจรจา สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรทั้งสองประเทศสูงถึง 36% สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทยและกัมพูชา โดยไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 18% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ส่วนกัมพูชามีสัดส่วนสูงถึง 35% ทำให้ไทยและกัมพูชาไม่มีอำนาจการต่อรอง แสดงให้เห็นถึงนโยบายการต่างประเทศที่เลือดเย็นของสหรัฐฯ
สำหรับสหรัฐฯ แล้ว สันติภาพไม่ใช่ผลแห่งการเจรจาบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและการประนีประนอม แต่ถูกบิดเบือนให้เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ถูกครอบงำโดยมหาอำนาจฝ่ายเดียว จุดประสงค์ก็เพื่อเปลี่ยนความขัดแย้งในภูมิภาคเป็น “การโชว์ออฟทางการเมือง” ของผู้นำสหรัฐฯ และถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เต็มใจลงนาม ข้อตกลงก็ย่อมยากที่จะบรรลุผลได้จริง สันติภาพที่ได้มาภายใต้แรงกดดันและการล่อใจจึงเป็นเพียงการจัดการที่ปลายเหตุ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นตอ และย่อมทิ้งชนวนปัญหาไว้ในกระบวนการเจรจาขั้นต่อ ๆ ไป และเมื่อถึงเวลานั้น สหรัฐฯ จะเดินหนีไปโดยไม่รับผิดชอบ ทิ้งปัญหาความวุ่นวายไว้ให้ประเทศคู่กรณีต้องรับผิดชอบกันเอง
หวังเตือนด้วยว่าข้อกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกกว่านั้นคือสหรัฐฯ กำลังบ่อนทำลาย “วิถีอาเซียน” ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ “ภูมิปัญญาตะวันออก” ที่ยึดหลักพหุภาคีที่เน้นการเจรจาหารือและการเปิดกว้างอย่างไม่แบ่งแยก สร้างฉันทามติบนพื้นฐานของความเสมอภาค คัดค้านการบีบบังคับเพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาค

