พระราชประวัติ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” กับ 9 พระราชกรณียกิจ เพื่อแผ่นดินและปวงชน

พระราชประวัติ "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" กับ 9 พระราชกรณียกิจ เพื่อแผ่นดินและปวงชน

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบรมราชินีนาถใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของพลเอก พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ กับหม่อมหลวงบัว กิติยากร สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า “สิริกิติ์” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เป็นศรี แห่งกิติยากร” ทรงพระราชสมภพเมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2475 ที่บ้านพลเอก เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ผู้เป็นบิดาของหม่อมหลวงบัว ณ บ้านเลขที่ 1808 ถนนพระรามหก ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ขณะนั้นเป็นระยะที่ประเทศเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ก่อนหน้านั้นพระบิดาของพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก มียศเป็นพันเอก หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร

 

หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงออกจากราชการทหาร โดยรัฐบาลแต่งตั้งให้ไปรับราชการในตำแหน่งเลขานุการเอก ประจำสถานทูตสยาม ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอมริกา ส่วนหม่อมหลวงบัวซึ่งมีครรภ์แก่คงพำนักอยู่ในประเทศไทย จนให้กำเนิดหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์แล้วจึงเดินทางไปสมทบ มอบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ให้อยู่ในความดูแลของเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ และท้าววนิดาพิจาริณี ผู้เป็นบิดาและมารดาของหม่อมหลวงบัว

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ต้องอยู่ห่างไกลบิดามารดาตั้งแต่อายุยังน้อย บางคราวต้องระหกระเหินไปต่างจังหวัดตามเหตุการณ์ผันผวนทางการเมือง เช่น ในพุทธศักราช 2476 หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กิติยากร พระมารดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล ได้ทรงรับนัดดาตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปสงขลาด้วย

ปลายพุทธศักราช 2477 หม่อมเจ้านักขัตรมงคลทรงลาออกจากราชการกลับประเทศไทยพร้อมครอบครัว อันมีหม่อมหลวงบัว หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ บุตรคนโต และหม่อมราชวงศ์ บุษบา บุตรีคนเล็กผู้เกิดที่สหรัฐอเมริกา แล้วมารับหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ บุตรคนรอง กับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์จาก หม่อมเจ้าอัปษรสมาน กลับมาอยู่รวมกันที่ตำหนักซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนกรุงเกษม ปากคลองผดุงกรุงเกษม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เริ่มเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินี ปากคลองตลาด ในพุทธศักราช 2479 แต่เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาลุกลามมาถึงประเทศไทย จังหวัดพระนครถูกโจมตีทางอากาศบ่อยครั้งทำให้การเดินทางไม่สะดวกและไม่ปลอดภัย ในพุทธศักราช 2483 จึงย้ายไปเรียนชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ถนนสามเสน เพราะอยู่ใกล้บ้านในระยะที่พอจะเดินไปโรงเรียนเองได้ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เริ่มเรียนเปียโนที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ และในเวลาต่อมาได้ตั้งใจที่จะเป็นนักเปียโนผู้มีชื่อเสียง

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้เผชิญสภาพของสงครามโลกมาเช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย หม่อมเจ้านักขัตรมงคลผู้ทรงเป็นทหารเป็นผู้ปลูกฝังให้บุตรและบุตรีรู้จักความมีวินัย ความอดทน ความกล้าหาญ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความเสียสละ โดยอาศัยสถานการณ์สงครามเป็นตัวอย่าง และสงครามโลกก็ทำให้คนไทยทั้งปวงต้องหันหน้าเข้าช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก สิ่งเหล่านี้จึงหล่อหลอมหม่อมราชวงศสิริกิติ์ให้มีความเมตตาต่อผู้อื่นและรักความมีระเบียบแบบแผนมาตั้งแต่เยาว์วัย

หลังจากสงครามสงบแล้ว นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น คือนายควง อภัยวงศ์ ได้แต่งตั้งให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลเป็นอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปด้วยในกลางพุทธศักราช 2489 ขณะนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 ของโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์แล้ว

ระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนเปียโน ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสกับครูพิเศษ แต่อยู่ที่อังกฤษได้ไม่นาน พุทธศักราช 2490 หม่อมเจ้านักขัตรมงคลก็ทรงย้ายไปเป็นอัครราชทูตประจำประเทศฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ก่อนจะกลับมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนี้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ยังคงตั้งใจเรียนเปียโนอย่างขะมักเขม้นเพื่อเตรียมสอบเข้าวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส

พุทธศักราช 2491 ขณะที่หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวอยู่ในปารีส ได้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งโปรดเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงงานทำรถยนต์ในกรุงปารีสอยู่เสมอ จนเป็นที่คุ้นเคยและต้องพระราชอัธยาศัย ฉะนั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุปัทวเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องประทับรักษาพระองค์ในสถานพยาบาล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมหลวงบัวพาบุตรี ทั้งสองคือหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์และหม่อมราชวงศ์บุษบาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ จนพระอาการประชวรทุเลาลงและเสด็จกลับพระตำหนักได้

สมเด็จพระราชชนนีได้รับสั่งขอให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่ศึกษาต่อที่เมืองโลซานน์ในโรงเรียนประจำชื่อโรงเรียน Riante Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในการสอนวิชาพิเศษแก่กุลสตรี คือ ภาษา ศิลปะ ดนตรี ประวัติวรรณคดี และประวัติศาสตร์

ต่อมาอีก 1 ปี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วสมเด็จพระราชชนนีรับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและทรงประกอบพิธีหมั้นเป็นการภายใน ในวันที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2492 ทรงใช้พระธำมรงค์ที่สมเด็จพระราชบิดาทรงหมั้นสมเด็จพระราชชนนีเป็นพระธำมรงค์หมั้น แล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ศึกษาต่อไปจนถึงกำหนดตามเสด็จกลับมาถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2493

วันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์และ เทพมนตร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และในวันนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

วันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493 เป็นวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับเฉลิมพระบรมนามาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และทรงเฉลิมพระยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

 

วันที่ 5 มิถุนายน พุทธศักราช 2493 ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพราะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลแนะนำให้ทรงพักรักษาพระองค์อีกระยะหนึ่ง พุทธศักราช 2494 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี มีพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเจริญพระชันษาได้ 7 เดือน ทั้งสามพระองค์จึงเสด็จนิวัติประเทศไทย ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ซึ่งปัจจุบันคือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศร ราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ ซึ่งปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ ปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิริธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ซึ่งปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้ประสูติต่อมาตามลำดับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน รวมพระราชโอรสและพระราชธิดา 4 พระองค์

ปลายพุทธศักราช 2498 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทยเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีให้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาแทน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2499 และในปีเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงพระผนวชตามโบราณราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ภายหลังเมื่อทรงลาผนวชแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระราชอิสริยยศสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อันมีความหมายว่าทรงเป็นที่พึ่งของประชาชน นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่สองของไทยต่อจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแทนพระองค์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป

 

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีกิจน้อยใหญ่ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีของไทย และในฐานะคู่พระราชหฤทัยแห่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กล่าวคือทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจทั้งหลายไปได้เป็นอันมาก ทั้งยังมีพระราชดำริเริ่มใหม่เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศอย่างอเนกอนันต์ ซึ่งโครงการพระราชดำริเหล่านั้นได้ยังประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนสืบมาจนทุกวันนี้

หลายทศวรรษที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทั่วทุกหนแห่งในผืนแผ่นดินไทย ทรงริเริ่มโครงการในพระราชดำริสำคัญนานัปการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของปวงชนอย่างทั่วถึง โดยมิทรงแบ่งแยกเพศ วัย หรือฐานะ ความหวังสูงสุดคือให้ประชาชน “อยู่ดีกินดี” อย่างยั่งยืน

เพื่อเสืบสานพระราชปณิธาน ได้รวบรวม 9 พระราชกรณียกิจโดยสังเขป อันสะท้อนพระวิริยะและพระเมตตาที่ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยและพระวรกายโอบอุ้มราษฎร ดังนี้

 

 

1.‘ศิลปาชีพ’ ราชินีแห่งไหมไทย ทรงเป็นต้นแบบอนุรักษ์ผ้าไทยให้โด่งดังไกล

ผ้าไหมไทย คือ ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่เคยถูกละเลย พระองค์ทรงหยิบยกขึ้นมาฟื้นฟูให้ทรงคุณค่ามากว่าครึ่งศตวรรษ เมื่อปี พ.ศ. 2513 คราวเสด็จฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ส่งเสริมการทอผ้าไหม ก่อเกิดการสร้างอาชีพและรายได้แก่ราษฎรอย่างกว้างขวางภายใต้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งทรงเผยแพร่ความงดงามของผ้าไหมและหัตถกรรมไทยสู่สายตาชาวโลก ผืนผ้าจากภูมิปัญญาชาวบ้านกลายเป็นฉลองพระองค์อันวิจิตร โดยใน พ.ศ. 2505 ทรงได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้แต่งพระองค์งามที่สุดของโลกจากผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นสตรีนานาชาติ ทำให้ผ้าไทยเป็นที่รู้จักและสวมใส่อย่างแพร่หลาย เพื่อต่อยอดพระราชปณิธาน วันที่ 9 มิถุนายน 2563 กรมการพัฒนาชุมชนร่วมกับสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดทำโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ครม. เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน กระตุ้นกระแสประกวดผ้าทอ มอบรางวัลเชิดชูเกียรติ และแฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัยให้ใส่ได้เก๋ในชีวิตประจำวัน

2.น้ำพระทัยสมเด็จพระพันปีหลวง ชุบชีวิตยามวิกฤติสาธารณสุข

พระองค์ทรงห่วงใยทุกข์ยากของราษฎร โดยเฉพาะด้านสุขภาพอนามัยในชนบทห่างไกล ทรงพระราชทานโครงการด้านสาธารณสุขจำนวนมาก อาทิ ทรงโปรดเกล้าฯ จัดคณะแพทย์ตามเสด็จในต่างจังหวัด พัฒนาเป็นหน่วยแพทย์พระราชทาน และสานต่อโครงการ “หมอหมู่บ้าน” ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ให้ชาวบ้านได้อบรมดูแลอนามัยเบื้องต้น พร้อมรับคนไข้ยากไร้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และชุด PAPR ให้โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร และทุกเหล่าทัพ เพื่อคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์

3.‘บ้านเล็กในป่าใหญ่’ โครงการพระราชดำริเพื่อคนกับป่าอยู่ร่วมกัน

“พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า” พระราชดำรัสสะท้อนพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ สนับสนุนพระราชกรณียกิจด้านแหล่งน้ำของในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานดำริจัดตั้งโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่แห่งแรกที่บ้านห้วยไม้หก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2534 โดยทรงเน้นรักษาป่าอุดมสมบูรณ์ ฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม ปลูกทั้งไม้ป่าธรรมชาติและไม้ใช้สอย จัดพื้นที่ทำกินอย่างมีประสิทธิภาพไม่ต้องบุกรุกป่า และจัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอ โครงการประสบความสำเร็จ คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ จึงขยายไปยังหลายพื้นที่ เช่น บ้านอุดมทรัพย์ อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร บ้านหนองห้า อ.เชียงคำ จ.พะเยา ดอยฟ้าห่มปก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เป็นต้น

4.ทรงต่อลมหายใจ ‘โขน’ ศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย

ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ศึกษาค้นคว้าโขนตามแบบโบราณราชประเพณี ฟื้นฟูองค์ความรู้และเครื่องแต่งกายให้ถูกต้องตามธรรมเนียม โปรดเกล้าฯ ให้ผู้เชี่ยวชาญรวบรวมหลักฐาน สร้างเครื่องแต่งกายขึ้นใหม่ และพัฒนาศิลปะการแสดงให้ร่วมสมัย โขนพระราชทาน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “ศึกพรหมาศ” พ.ศ. 2552 เป็นปฐมบทแห่งความสำเร็จที่งดงามตระการตา ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน โดยในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จัดแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอน “สะกดทัพ” ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม–5 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ด้วยพระวิสัยทัศน์ที่สนับสนุนโขนให้ก้องโลก UNESCO จึงประกาศขึ้นทะเบียน “โขนไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561

5.สืบสานพระราชปณิธานธรรมราชินี

ทรงตระหนักว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ให้ประกอบแต่ความดี จึงทรงอุปถัมภ์บำรุงศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทย ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์–ฮินดู และซิกข์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงประกอบพระราชกรณียกิจทางศาสนา มักโดยเสด็จฯ ด้วยเสมอ และหลายคราวเสด็จฯ โดยลำพังด้วยความเคารพในจารีต นอกจากนี้ยังทรงถวายปัจจัยแด่พระเถรานุเถระเป็นประจำ อนุเคราะห์พระสงฆ์อาพาธ สนับสนุนค่ารักษาพยาบาล และโปรดให้จัดภัตตาหารถวายเป็นพิเศษ

6.‘สถาบันสิริกิติ์’ สานต่องานศิลปาชีพเผยแพร่ประณีตศิลป์

กว่า 60 ปี แห่งพระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพทำให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโต โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดาพัฒนางานอย่างก้าวหน้า ผลงานมีความวิจิตรงดงาม จนยกสถานะเป็น “สถาบันสิริกิติ์” ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2553 ผลงานประณีตศิลป์อวดโฉมในพิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน” ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดแสดงตั้งแต่ห้อง “ปีกแมลงทับ” งานแกะสลัก คร่ำ ย่านลิเภา งานปักเส้นไหมโบราณ เครื่องราชูปโภคและเครื่องประดับ รวมถึงจำลองพระที่นั่งพุดตานคร่ำทองอย่างเสมือนจริง ทั้งหมดคือฝีมือชาวนาชาวไร่ที่ผ่านการฝึกฝนจนเป็นช่างศิลป์ชั้นยอดตามพระราชดำริ

7.‘ฟาร์มตัวอย่าง’ ตามพระราชดำริ ศูนย์เรียนรู้การเกษตรครบวงจร

กิจกรรมฟาร์มตัวอย่างถือกำเนิดที่บ้านขุนแตะ ตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อกว่า 20 ปีก่อน จากการช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดให้มีงานทำ เริ่มจากพัฒนาสาธารณูปโภค แหล่งน้ำ และกิจกรรมเกษตรครบวงจร ทั้งปลูกผัก ผลไม้ เลี้ยงปศุสัตว์และประมง ต่อมาขยายผลทั่วประเทศ ในสถานการณ์โควิด-19 ที่แรงงานจำนวนมากตกงานและกลับภูมิลำเนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง โปรดให้นำพื้นที่ในโครงการฟาร์มตัวอย่างฯ 30 แห่ง จาก 61 แห่ง ใน 17 จังหวัด มาสนับสนุนการจ้างงาน ภายใต้ “โครงการฟาร์มตัวอย่างฯ ต้านภัยโควิด-19” เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เลี้ยงครอบครัว

8.พระเมตตาด้านงานสังคมสงเคราะห์

พระองค์ทรงพระเมตตาช่วยเหลือประชาชนด้านการแพทย์ สาธารณสุข และสังคมสงเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพราะทรงตระหนักว่ากายแข็งแรงนำไปสู่ใจเข้มแข็งและประโยชน์ส่วนรวม นอกเหนือจากพสกนิกรไทย น้ำพระราชหฤทัยยังแผ่ไพศาลถึงผู้อพยพลี้ภัย เช่น เหตุการณ์บ้านเขาล้าน จังหวัดตราด ทรงเยี่ยมผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา พระราชทานอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม โปรดให้สภากาชาดไทยร่วมกับกาชาดสากลช่วยเหลือ และพระราชทานครูสอนวิชาชีพ นอกจากนี้ทรงตั้ง “มูลนิธิสายใจไทย” เพื่อช่วยเหลือทหาร ตำรวจ และอาสารับใช้ชาติที่บาดเจ็บหรือพิการ พัฒนาอาชีพให้พึ่งพาตนเองได้ ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของมูลนิธิเป็นที่นิยมของประชาชน

9.ทรงส่งเสริมเยาวชนของชาติให้ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม

ด้านการศึกษา พระองค์ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นทุนเริ่มแรกให้โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 1 สร้างโรงเรียนสำหรับชาวไทยภูเขาเผ่าเย้าที่บ้านห้วยขาน ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และมอบให้กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนดูแล ปัจจุบันสังกัดกระทรวงศึกษาธิการสอนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างอาคารใหม่ให้โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 2 สำหรับเด็กชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังทรงรับนักเรียนยากจนที่ทรงพบระหว่างเสด็จฯ ไปเยี่ยมราษฎรไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เกือบ 2,000 คน ขยายโอกาสถึงเด็กพิการให้ได้รับการศึกษาในโรงเรียนการศึกษาพิเศษตามความสามารถ จนจบการศึกษาเพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้

พระราชกรณียกิจทั้ง 9 ประการนี้ คือหลักฐานแห่งพระเมตตา พระปรีชาญาณ และพระวิริยะอุตสาหะของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงยกระดับชีวิตประชาชน สืบสานรากเหง้าศิลปวัฒนธรรม ฟื้นคืนผืนป่าและแหล่งน้ำ หนุนเสริมเศรษฐกิจฐานราก และเปิดโอกาสทางการศึกษาให้ลูกหลานไทยอย่างไม่รู้จบ เพื่อให้แผ่นดินไทย “อยู่ดี มีสุข” อย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

พระราชประวัติ "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" กับ 9 พระราชกรณียกิจ เพื่อแผ่นดินและปวงชน
"ในหลวง" โปรดเกล้าฯ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ฝ่ายหน้า เจ้าฟ้าทีปังกรฯ
อำเภอวังน้อย จัด“เทศกาลอาหารสตรีทฟู้ด@วังน้อย” ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และ Soft Power ด้านอาหาร
สื่อ BBC -AFP แพร่ข่าวทั่วโลก "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" เสด็จสวรรคต พร้อมแพร่บทสัมภาษณ์ครั้งสำคัญ
"อุตุฯ" เผยรับมืออากาศหนาวขึ้น 1-2 องศาฯ ภาคใต้ 13 จังหวัด โดนฝนถล่มหนัก
"สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" สวรรคต

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​