หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ได้เผชิญสภาพของสงครามโลกมาเช่นเดียวกับคนไทยทั้งหลาย หม่อมเจ้านักขัตรมงคลผู้ทรงเป็นทหารเป็นผู้ปลูกฝังให้บุตรและบุตรีรู้จักความมีวินัย ความอดทน ความกล้าหาญ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความเสียสละ โดยอาศัยสถานการณ์สงครามเป็นตัวอย่าง และสงครามโลกก็ทำให้คนไทยทั้งปวงต้องหันหน้าเข้าช่วยเหลือกันในยามทุกข์ยาก สิ่งเหล่านี้จึงหล่อหลอมหม่อมราชวงศสิริกิติ์ให้มีความเมตตาต่อผู้อื่นและรักความมีระเบียบแบบแผนมาตั้งแต่เยาว์วัย
หลังจากสงครามสงบแล้ว นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น คือนายควง อภัยวงศ์ ได้แต่งตั้งให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลเป็นอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษ หม่อมเจ้านักขัตรมงคลจึงทรงพาครอบครัวทั้งหมดไปด้วยในกลางพุทธศักราช 2489 ขณะนั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 ของโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์แล้ว
ระหว่างที่อยู่ในประเทศอังกฤษ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เรียนเปียโน ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสกับครูพิเศษ แต่อยู่ที่อังกฤษได้ไม่นาน พุทธศักราช 2490 หม่อมเจ้านักขัตรมงคลก็ทรงย้ายไปเป็นอัครราชทูตประจำประเทศฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ก่อนจะกลับมาเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนี้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ยังคงตั้งใจเรียนเปียโนอย่างขะมักเขม้นเพื่อเตรียมสอบเข้าวิทยาลัยการดนตรีที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส
พุทธศักราช 2491 ขณะที่หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวอยู่ในปารีส ได้รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งโปรดเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโรงงานทำรถยนต์ในกรุงปารีสอยู่เสมอ จนเป็นที่คุ้นเคยและต้องพระราชอัธยาศัย ฉะนั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุปัทวเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องประทับรักษาพระองค์ในสถานพยาบาล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมหลวงบัวพาบุตรี ทั้งสองคือหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์และหม่อมราชวงศ์บุษบาเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทเยี่ยมพระอาการเป็นประจำ จนพระอาการประชวรทุเลาลงและเสด็จกลับพระตำหนักได้
สมเด็จพระราชชนนีได้รับสั่งขอให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์อยู่ศึกษาต่อที่เมืองโลซานน์ในโรงเรียนประจำชื่อโรงเรียน Riante Rive ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในการสอนวิชาพิเศษแก่กุลสตรี คือ ภาษา ศิลปะ ดนตรี ประวัติวรรณคดี และประวัติศาสตร์
ต่อมาอีก 1 ปี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลและครอบครัวมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วสมเด็จพระราชชนนีรับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ต่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคลและทรงประกอบพิธีหมั้นเป็นการภายใน ในวันที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2492 ทรงใช้พระธำมรงค์ที่สมเด็จพระราชบิดาทรงหมั้นสมเด็จพระราชชนนีเป็นพระธำมรงค์หมั้น แล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ศึกษาต่อไปจนถึงกำหนดตามเสด็จกลับมาถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2493
วันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์และ เทพมนตร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย และในวันนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
วันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2493 เป็นวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับเฉลิมพระบรมนามาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และทรงเฉลิมพระยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี

วันที่ 5 มิถุนายน พุทธศักราช 2493 ทั้งสองพระองค์เสด็จกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพราะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลแนะนำให้ทรงพักรักษาพระองค์อีกระยะหนึ่ง พุทธศักราช 2494 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี มีพระประสูติกาลสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเจริญพระชันษาได้ 7 เดือน ทั้งสามพระองค์จึงเสด็จนิวัติประเทศไทย ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ซึ่งปัจจุบันคือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศร ราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ ซึ่งปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดาฯ ปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิริธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ซึ่งปัจจุบันเฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้ประสูติต่อมาตามลำดับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน รวมพระราชโอรสและพระราชธิดา 4 พระองค์
ปลายพุทธศักราช 2498 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ผู้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทยเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีให้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาแทน เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2499 และในปีเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกทรงพระผนวชตามโบราณราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมเด็จพระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ภายหลังเมื่อทรงลาผนวชแล้ว ได้ทรงสถาปนาพระราชอิสริยยศสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ อันมีความหมายว่าทรงเป็นที่พึ่งของประชาชน นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่สองของไทยต่อจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งทรงปฏิบัติราชการแทนพระองค์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณีกิจน้อยใหญ่ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีของไทย และในฐานะคู่พระราชหฤทัยแห่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร กล่าวคือทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจทั้งหลายไปได้เป็นอันมาก ทั้งยังมีพระราชดำริเริ่มใหม่เพื่อช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศอย่างอเนกอนันต์ ซึ่งโครงการพระราชดำริเหล่านั้นได้ยังประโยชน์มหาศาลแก่ประชาชนสืบมาจนทุกวันนี้
หลายทศวรรษที่ผ่านมา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทั่วทุกหนแห่งในผืนแผ่นดินไทย ทรงริเริ่มโครงการในพระราชดำริสำคัญนานัปการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของปวงชนอย่างทั่วถึง โดยมิทรงแบ่งแยกเพศ วัย หรือฐานะ ความหวังสูงสุดคือให้ประชาชน “อยู่ดีกินดี” อย่างยั่งยืน
เพื่อเสืบสานพระราชปณิธาน ได้รวบรวม 9 พระราชกรณียกิจโดยสังเขป อันสะท้อนพระวิริยะและพระเมตตาที่ทรงทุ่มเทพระราชหฤทัยและพระวรกายโอบอุ้มราษฎร ดังนี้

1.‘ศิลปาชีพ’ ราชินีแห่งไหมไทย ทรงเป็นต้นแบบอนุรักษ์ผ้าไทยให้โด่งดังไกล
ผ้าไหมไทย คือ ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่เคยถูกละเลย พระองค์ทรงหยิบยกขึ้นมาฟื้นฟูให้ทรงคุณค่ามากว่าครึ่งศตวรรษ เมื่อปี พ.ศ. 2513 คราวเสด็จฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ส่งเสริมการทอผ้าไหม ก่อเกิดการสร้างอาชีพและรายได้แก่ราษฎรอย่างกว้างขวางภายใต้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งทรงเผยแพร่ความงดงามของผ้าไหมและหัตถกรรมไทยสู่สายตาชาวโลก ผืนผ้าจากภูมิปัญญาชาวบ้านกลายเป็นฉลองพระองค์อันวิจิตร โดยใน พ.ศ. 2505 ทรงได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้แต่งพระองค์งามที่สุดของโลกจากผู้เชี่ยวชาญแฟชั่นสตรีนานาชาติ ทำให้ผ้าไทยเป็นที่รู้จักและสวมใส่อย่างแพร่หลาย เพื่อต่อยอดพระราชปณิธาน วันที่ 9 มิถุนายน 2563 กรมการพัฒนาชุมชนร่วมกับสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดทำโครงการ “สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดำรงไว้ในแผ่นดิน” ครม. เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการสวมใส่ผ้าไทยอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน กระตุ้นกระแสประกวดผ้าทอ มอบรางวัลเชิดชูเกียรติ และแฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัยให้ใส่ได้เก๋ในชีวิตประจำวัน
2.น้ำพระทัยสมเด็จพระพันปีหลวง ชุบชีวิตยามวิกฤติสาธารณสุข
พระองค์ทรงห่วงใยทุกข์ยากของราษฎร โดยเฉพาะด้านสุขภาพอนามัยในชนบทห่างไกล ทรงพระราชทานโครงการด้านสาธารณสุขจำนวนมาก อาทิ ทรงโปรดเกล้าฯ จัดคณะแพทย์ตามเสด็จในต่างจังหวัด พัฒนาเป็นหน่วยแพทย์พระราชทาน และสานต่อโครงการ “หมอหมู่บ้าน” ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ให้ชาวบ้านได้อบรมดูแลอนามัยเบื้องต้น พร้อมรับคนไข้ยากไร้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์และชุด PAPR ให้โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร และทุกเหล่าทัพ เพื่อคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์
3.‘บ้านเล็กในป่าใหญ่’ โครงการพระราชดำริเพื่อคนกับป่าอยู่ร่วมกัน
“พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า” พระราชดำรัสสะท้อนพระราชปณิธานด้านการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ สนับสนุนพระราชกรณียกิจด้านแหล่งน้ำของในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานดำริจัดตั้งโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่แห่งแรกที่บ้านห้วยไม้หก อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2534 โดยทรงเน้นรักษาป่าอุดมสมบูรณ์ ฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม ปลูกทั้งไม้ป่าธรรมชาติและไม้ใช้สอย จัดพื้นที่ทำกินอย่างมีประสิทธิภาพไม่ต้องบุกรุกป่า และจัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอ โครงการประสบความสำเร็จ คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ จึงขยายไปยังหลายพื้นที่ เช่น บ้านอุดมทรัพย์ อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร บ้านหนองห้า อ.เชียงคำ จ.พะเยา ดอยฟ้าห่มปก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เป็นต้น
4.ทรงต่อลมหายใจ ‘โขน’ ศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย
ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ศึกษาค้นคว้าโขนตามแบบโบราณราชประเพณี ฟื้นฟูองค์ความรู้และเครื่องแต่งกายให้ถูกต้องตามธรรมเนียม โปรดเกล้าฯ ให้ผู้เชี่ยวชาญรวบรวมหลักฐาน สร้างเครื่องแต่งกายขึ้นใหม่ และพัฒนาศิลปะการแสดงให้ร่วมสมัย โขนพระราชทาน เรื่องรามเกียรติ์ ชุด “ศึกพรหมาศ” พ.ศ. 2552 เป็นปฐมบทแห่งความสำเร็จที่งดงามตระการตา ต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน โดยในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จัดแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอน “สะกดทัพ” ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม–5 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ด้วยพระวิสัยทัศน์ที่สนับสนุนโขนให้ก้องโลก UNESCO จึงประกาศขึ้นทะเบียน “โขนไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561
5.สืบสานพระราชปณิธานธรรมราชินี
ทรงตระหนักว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ให้ประกอบแต่ความดี จึงทรงอุปถัมภ์บำรุงศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทย ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์–ฮินดู และซิกข์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงประกอบพระราชกรณียกิจทางศาสนา มักโดยเสด็จฯ ด้วยเสมอ และหลายคราวเสด็จฯ โดยลำพังด้วยความเคารพในจารีต นอกจากนี้ยังทรงถวายปัจจัยแด่พระเถรานุเถระเป็นประจำ อนุเคราะห์พระสงฆ์อาพาธ สนับสนุนค่ารักษาพยาบาล และโปรดให้จัดภัตตาหารถวายเป็นพิเศษ
6.‘สถาบันสิริกิติ์’ สานต่องานศิลปาชีพเผยแพร่ประณีตศิลป์
กว่า 60 ปี แห่งพระราชกรณียกิจด้านศิลปาชีพทำให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโต โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดาพัฒนางานอย่างก้าวหน้า ผลงานมีความวิจิตรงดงาม จนยกสถานะเป็น “สถาบันสิริกิติ์” ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2553 ผลงานประณีตศิลป์อวดโฉมในพิพิธภัณฑ์ “ศิลป์แผ่นดิน” ตำบลเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จัดแสดงตั้งแต่ห้อง “ปีกแมลงทับ” งานแกะสลัก คร่ำ ย่านลิเภา งานปักเส้นไหมโบราณ เครื่องราชูปโภคและเครื่องประดับ รวมถึงจำลองพระที่นั่งพุดตานคร่ำทองอย่างเสมือนจริง ทั้งหมดคือฝีมือชาวนาชาวไร่ที่ผ่านการฝึกฝนจนเป็นช่างศิลป์ชั้นยอดตามพระราชดำริ
7.‘ฟาร์มตัวอย่าง’ ตามพระราชดำริ ศูนย์เรียนรู้การเกษตรครบวงจร
กิจกรรมฟาร์มตัวอย่างถือกำเนิดที่บ้านขุนแตะ ตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อกว่า 20 ปีก่อน จากการช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดให้มีงานทำ เริ่มจากพัฒนาสาธารณูปโภค แหล่งน้ำ และกิจกรรมเกษตรครบวงจร ทั้งปลูกผัก ผลไม้ เลี้ยงปศุสัตว์และประมง ต่อมาขยายผลทั่วประเทศ ในสถานการณ์โควิด-19 ที่แรงงานจำนวนมากตกงานและกลับภูมิลำเนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวง โปรดให้นำพื้นที่ในโครงการฟาร์มตัวอย่างฯ 30 แห่ง จาก 61 แห่ง ใน 17 จังหวัด มาสนับสนุนการจ้างงาน ภายใต้ “โครงการฟาร์มตัวอย่างฯ ต้านภัยโควิด-19” เพื่อให้ประชาชนมีรายได้เลี้ยงครอบครัว
8.พระเมตตาด้านงานสังคมสงเคราะห์
พระองค์ทรงพระเมตตาช่วยเหลือประชาชนด้านการแพทย์ สาธารณสุข และสังคมสงเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพราะทรงตระหนักว่ากายแข็งแรงนำไปสู่ใจเข้มแข็งและประโยชน์ส่วนรวม นอกเหนือจากพสกนิกรไทย น้ำพระราชหฤทัยยังแผ่ไพศาลถึงผู้อพยพลี้ภัย เช่น เหตุการณ์บ้านเขาล้าน จังหวัดตราด ทรงเยี่ยมผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา พระราชทานอาหาร ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม โปรดให้สภากาชาดไทยร่วมกับกาชาดสากลช่วยเหลือ และพระราชทานครูสอนวิชาชีพ นอกจากนี้ทรงตั้ง “มูลนิธิสายใจไทย” เพื่อช่วยเหลือทหาร ตำรวจ และอาสารับใช้ชาติที่บาดเจ็บหรือพิการ พัฒนาอาชีพให้พึ่งพาตนเองได้ ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมของมูลนิธิเป็นที่นิยมของประชาชน
9.ทรงส่งเสริมเยาวชนของชาติให้ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม
ด้านการศึกษา พระองค์ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นทุนเริ่มแรกให้โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 1 สร้างโรงเรียนสำหรับชาวไทยภูเขาเผ่าเย้าที่บ้านห้วยขาน ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และมอบให้กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนดูแล ปัจจุบันสังกัดกระทรวงศึกษาธิการสอนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างอาคารใหม่ให้โรงเรียนเจ้าแม่หลวงอุปถัมภ์ 2 สำหรับเด็กชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้ยังทรงรับนักเรียนยากจนที่ทรงพบระหว่างเสด็จฯ ไปเยี่ยมราษฎรไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์เกือบ 2,000 คน ขยายโอกาสถึงเด็กพิการให้ได้รับการศึกษาในโรงเรียนการศึกษาพิเศษตามความสามารถ จนจบการศึกษาเพื่อประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้
พระราชกรณียกิจทั้ง 9 ประการนี้ คือหลักฐานแห่งพระเมตตา พระปรีชาญาณ และพระวิริยะอุตสาหะของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงยกระดับชีวิตประชาชน สืบสานรากเหง้าศิลปวัฒนธรรม ฟื้นคืนผืนป่าและแหล่งน้ำ หนุนเสริมเศรษฐกิจฐานราก และเปิดโอกาสทางการศึกษาให้ลูกหลานไทยอย่างไม่รู้จบ เพื่อให้แผ่นดินไทย “อยู่ดี มีสุข” อย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป