โฆษกสปสช. แจงเหตุงบ “กองทุนบัตรทอง” รวมเงินเดือนบุคลากรสาธารณะ ชี้เป็นเจตนารมณ์กม. ลดความเหลื่อมล้ำ




ข่าวที่น่าสนใจ
24 ต.ค.2568 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะโฆษก สปสช. กล่าวว่า งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ สปสช. ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาลนั้น ในส่วนของงบเหมาจ่ายรายหัว ได้รวมเงินเดือนบุคลากรหน่วยบริการภาครัฐไว้ด้วย ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 46 (2) ที่ระบุว่า ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของหน่วยบริการในส่วนเงินเดือนและค่าตอบแทนบุคลากร เพื่อกระจายบุคลากรตามจำนวนประชากรในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขระหว่างประชาชนในพื้นที่เมืองและชนบท และเพื่อให้โรงพยาบาลตระหนักถึงต้นทุนหลักอย่างเงินเดือนบุคลากรซึ่งจะช่วยรักษาประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณสุข

ยกตัวอย่างปีงบประมาณ 2567 งบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว 165,525.15 ล้านบาท (หรืออัตราเหมาจ่ายเท่ากับ 3,472.24 บาทต่อผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 47.671 ล้านคน) เป็นงบสำหรับบริการทางการแพทย์ 100,634.43 ล้านบาท และเงินเดือนบุคลากรของหน่วยบริการภาครัฐในระบบ 64,890.72 ล้านบาท
ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 งบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว 198,227.74 ล้านบาท (หรืออัตราเหมาจ่ายเท่ากับ 4,173.04 บาทต่อผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 47.502 ล้านคน) เป็นงบสำหรับบริการทางการแพทย์ 133,154.28 ล้านบาท และเงินเดือนบุคลากรของหน่วยบริการภาครัฐในระบบ 65,073.46 ล้านบาท
ทั้งนี้ ข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการ พ.ศ.2538 ทำให้เงินที่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้รับจะเป็นเฉพาะเงินส่วนที่ไม่รวมเงินเดือนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของหน่วยบริการของรัฐ ที่ได้รับจากเงินงบประมาณโดยตรง (ค่าแรงในระบบ) ดังนั้นจึงต้องมีการหักค่าแรงในระบบสำหรับหน่วยบริการของรัฐออกจากเงินที่จ่าย ก่อนที่จะจ่ายจริงให้กับหน่วยบริการของรัฐต่างๆ
โฆษก สปสช. กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางหักเงินเดือนหรือค่าแรงบุคลากรนั้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 สำนักงบประมาณได้เริ่มหักค่าแรงโดยใช้ฐานการหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐในปีที่ผ่านมาคูณด้วยอัตราการเติบโตของค่าแรง (% Growth) ต่อมาปี 2566 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) และ สปสช. ทำข้อมูลร่วมกันแล้วพบว่าอัตราการเติบโตจริง คือ 4.93% จึงขอปรับลดอัตราการหักค่าแรงภาครัฐไปที่สำนักงบประมาณ และใช้ข้อมูลนี้มาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 รวมถึงมติบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ในการจัดทำคำของบประมาณว่า เมื่อหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐแล้ว งบดำเนินการหลักจะไม่ลดลงและควรเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อฐานะการเงินของหน่วยบริการ
สำหรับขั้นตอนการหักค่าแรงในหน่วยบริการภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น สำนักงบประมาณดำเนินการดังนี้
1.แยกเพดานค่าแรงในระบบเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. และกลุ่มหน่วยบริการของรัฐอื่นๆ
2.หักค่าแรงจากรายการค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว โดยให้ได้จำนวนเงินค่าแรงในระบบตามการคำนวณของสานักงบประมาณ และให้มีการเกลี่ยระหว่างหน่วยบริการภายในกลุ่มเดียวกันได้
3. วิธีการหักค่าแรงแบ่งเป็น 3 กลุ่ม
3.1 หน่วยบริการรัฐสังกัดอื่นๆ ในพื้นที่เขต 1-12 ให้หักค่าแรงในระบบที่ระดับหน่วยบริการประจำ โดยให้หักจากรายรับผู้ป่วยนอก (OP) ผู้ป่วยใน IP และบริการสร้างเสริมสุขภาพ (PP) โดยให้ได้จำนวนเงินค่าแรงในระบบรวมตามการคำนวณของสำนักงบประมาณ
3.2 หน่วยบริการรัฐสังกัดอื่นๆ ในพื้นที่เขต 13 แนวทางการหักค่าแรง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ สปสช.กำหนด
3.3 หน่วยบริการของรัฐสังกัด สป.สธ. ให้หักค่าแรงในระบบที่ระดับหน่วยบริการประจำ โดยหักจากรายรับ OP/PP/IP ให้ได้จำนวนเงินค่าแรงในระบบรวมตามการคำนวณของสานักงบประมาณ โดยใช้ตัวเลขการเบิกจ่ายงบบุคลากรจากระบบของกรมบัญชีกลางและระบบ GFMIS เป็นตัวเลขอ้างอิงระดับจังหวัด และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ปรับเกลี่ยกระจายเป็นรายหน่วยบริการประจำ ด้วยข้อมูลงบบุคลากรที่ปฏิบัติงานจริงจากกระทรวงสาธารณสุข โดยในส่วนนี้จะเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกันระหว่าง สป.สธ. และ สปสช. ในรูปแบบของคณะกรรมการกำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของหน่วยบริการสังกัด สป.สธ.ระดับประเทศ หรือคณะกรรมการฯ 7×7
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น