“นายกฯอนุทิน” ชี้ 26 ต.ค.เหมาะสมลงนามเริ่มต้นสันติภาพ “สีหศักดิ์” ย้ำเงื่อนไข กัมพูชาต้องถอนอาวุธหนัก กู้ทุ่นระเบิดก่อน


ข่าวที่น่าสนใจ
24 ตุลาคม 2568 ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง การลงนามข้อตกลง จีบีซี ที่กัมพูชายอมรับเงื่อนไข 4 ข้อ ว่า ให้ดำเนินการไปทีละขั้นตอน หวังว่าในการประชุมอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซีย ที่มีการกำหนดให้ลงนามในถ้อยแถลง เพื่อจะนำไปสู่การปฏิบัติใน 4 ข้อ ซึ่งหากตกลงกับกัมพูชาได้ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ผ่านการประชุม เจบีซี และ จีบีซี ก็จะนำไปสู่การลงนามในถ้อยแถลง (เอกสารคำประกาศสร้างสันติภาพไทย-กัมพูชา) 26 ตุลาคมนี้ได้

เมื่อถามว่า ในการประชุม เจบีซี กัมพูชาขอให้ใช้คำว่าปรับการถือครองที่ดินแทนการรื้อถอน จะมีผลในภายหลังหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ผู้ไปเจรจาได้ข้อสรุปต่างๆ ยึดผลประโยชน์ เกียรติภูมิ และอธิปไตยของไทย ประโยชน์ของประชาชนไทยเป็นเป้าหมายสูงสุด ทุกอย่างเป็นความต่อเนื่อง ซึ่งเจบีซี เกี่ยวกับการบริหารสถานการณ์เขตแดนต่างๆ ซึ่งได้มีข้อตกลงไว้แล้ว ว่า ใครจะทำอะไร ส่วนจีบีซี จะเน้นในเรื่องปฏิบัติที่ฝ่ายกัมพูชาจะปฏิบัติ
“เมื่อมีการลงนามตามเงื่อนไข 4 ข้อ คิดว่าเป็นเวลาเหมาะสมที่จะลงนาม เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงาน ไม่ได้คุยกัน 2 คน แต่มีผู้นำประเทศต่างๆ เป็นสักขีพยานด้วย”นายอนุทิน กล่าว
ขณะที่ทางด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงสาระสำคัญของการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ว่า การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้สำคัญนอกจากผู้นำอาเซียนจะพบกันเองแล้วจะพบผู้นำสำคัญ ทั้ง จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย ออสเตรเลีย ซึ่งทุกคนให้ความสำคัญกับความร่วมมือปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และขบวนการสแกมเมอร์ เพราะผลกระทบไม่ได้จำกัดเฉพาะภูมิภาค แต่ส่งผลไปทั่วโลก ชาวเกาหลีใต้กำลังตกเป็นเหยื่อ และประชาชนในสหรัฐอเมริกาก็ตกเป็นเหยื่อของขบวนการเหล่านี้ รวมถึงมีคนหลายสัญชาติหลบหนีเข้ามาในไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาดังกล่าว

“อาเซียนและสหรัฐฯ คุยเรื่องนี้มาตลอด อยากให้สหรัฐฯ ร่วมมือกับเรา และเราพร้อมปราบปรามสแกมเมอร์ คงเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่อยากให้สหรัฐฯ ร่วมมือกัน รวมถึงจีนก็ได้รับผลกระทบ เกาหลีใต้ ทุกประเทศเน้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ส่วนกรณีที่ชาวต่างชาติกว่า 1,000 คน หลบหนีเข้าไทย ที่อ.แม่สอด จ.ตาก เราต้องคุ้มครองดูแลคนเหล่านี้ และต้องร่วมมือกันในการสอบสวน เพื่อนำไปใช้ในการปราบปรามและการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม เพื่อให้คนเหล่านี้กลับประเทศได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และให้บุคคลเหล่านี้ได้กลับประเทศโดยเร็ว”รมว.ต่างประเทศ กล่าว
นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้นควรทำเรื่องนี้เป็นวาระระหว่างประเทศ ไม่ใช่แค่วาระของอาเซียน สำหรับประเทศไทยมีศูนย์ที่ทำหน้าที่ปราบปรามขบวนการเหล่านี้ และใช้เป็นแกนกลางในการร่วมมือประเทศต่างๆในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ทำอย่างไรเพื่อใช้กลไกให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไทยจะหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาหารือในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้แน่นอน โดยเราเชื่อว่าหลายประเทศจะเห็นความสำคัญและร่วมมือกัน ที่สำคัญ ไทยจะเป็นแกนกลางและแกนนำในการส่งเสริมกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคและระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ ซึ่งจะปรากฏในเอกสารผลลัพธ์ของผู้นำอาเซียน และในถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีของไทยที่จะนำเสนอเรื่องดังกล่าวเป็นพิเศษ
“เราพร้อมที่จะมีบทบาทนำในเรื่องนี้ เพราะไทยได้รับผลกระทบ ทั้งฝั่งเมียนมาและกัมพูชา ขณะเดียวกันไทยมีกลไกภายในประเทศ และมีความร่วมมือในกรอบอาเซียน เราอาจต้องคิดกันว่าอาเซียนจะขยายกรอบให้ได้รับความร่วมมือต่างๆ และน่าจะจัดการประชุมเรื่องนี้โดยเฉพาะหรือไม่”รมว.ต่างประเทศ กล่าว
นายสีหศักดิ์ กล่าวอีกว่า อาเซียนต้องเสริมความเข้มแข็ง เพราะเราเจอความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เราคงไม่อยากเลือกข้าง เราไม่ได้ว่าเป็นกลาง เราคงต้องพยายามมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ 2 ชาติมหาอำนาจ ไม่อยากให้เขานำความขัดแย้งของเขามาสู่ภูมิภาคของเรา เราเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับสองมหาอำนาจ ไม่ใช่เฉพาะจีนและสหรัฐฯที่สำคัญต่อภูมิภาค แต่ยังมีอินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เราพยายามดึงความร่วมมือของประเทศเหล่านี้ให้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาภูมิภาคของเรา สำหรับสหรัฐฯ พยายามแสดงให้เห็นถึงบทบาทของเขาในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก อยากเป็นแกนนำส่งเสริมอินโดแปซิฟิกที่เสรี เพื่อแสดงว่าสหรัฐฯ ยังเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคนี้ และที่สำคัญมีการเจรจาการค้า อาจจะมีการประกาศบรรลุข้อตกลงเรื่องการเจรจาภาษีกับบางประเทศ อย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย
รมว.ต่างประเทศ ยังกล่าวถึงการที่สหรัฐฯ และมาเลเซีย จะร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารคำประกาศระหว่างไทยและกัมพูชา กำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพร่วมกัน ในวันที่ 26 ต.ค.นี้ ว่า เอกสารที่ไทยและกัมพูชาจะลงนามเรียกว่า Joint Declaration between Thailand and Cambodia on the outcomes of their meetings leading to peace ถือเป็นการประกาศเจตนารมณ์และข้อตกลงต่างๆ แต่การจะเกิดสันติภาพ คือการปฏิบัติตามเอกสารที่เราจะลงนาม ซึ่งจะต้องมีกัมพูชาร่วมทำด้วย โดยมีสหรัฐฯ มาเลเซีย และอาจมีประเทศอาเซียนอื่นร่วมเป็นสักขีพยานว่าจะนำไปสู่ปฏิบัติ เพื่อจะได้เดินหน้าไปสู่การร่วมมือดำเนินมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ข่าวปลอมที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
แต่ก่อนการลงนาม ไทยต้องเห็นการปฏิบัติที่ชัดเจนจากฝ่ายกัมพูชาด้วย อย่างเช่น การถอนอาวุธหนักในวันที่ 25 ต.ค. รวมถึงการกู้ทุ่นระเบิด เราจะเริ่มดำเนินการแล้ว หวังว่าเขาให้ความร่วมมือกับเรา อย่างน้อยต้องกำหนดวันว่าวันไหนจะเริ่มอย่างไร เพราะประชาชนคนไทย ต้องการรับรู้สิ่งเหล่านี้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอธิปไตยและบูรณภาพดินแดน ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายทหาร พยายามให้ข้อมูลข่าวสาร
“เป็นการลงนามในเอกสารที่กำหนดแนวทางที่จะแก้ปัญหาไปสู่สันติภาพ หลังการลงนามความร่วมมือของนายกรัฐมนตรี เราจึงต้องเห็นแนวทางปฏิบัติ อย่างน้อยจะเห็นว่าเราเดินมาในทางที่ถูกต้อง พยายามแก้ปัญหาหลักๆ มีการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และเมื่อเกิดการปฏิบัติ เราคงต้องมาดูการฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างไร เพราะไทยกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านกันเราต้องอยู่ด้วยกัน”นายสีหศักดิ์ กล่าว
นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับฝ่ายไทย การตกลงกันไม่เพียงพอแค่แผ่นกระดาษ แต่เราต้องการเห็นการปฏิบัติ เพราะเราต้องการเห็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้เปิดหน้าใหม่ แต่การเปิดหน้าใหม่นั้น ต้องตอบคำถามประชาชนคนไทยด้วย และคนไทยก็รู้สึกให้ความสำคัญของศักดิ์ศรีของไทย การปกป้องอธิปไตยของไทย ทั้งนี้ ตนอยากยืนยันว่าการเจรจาของเรายึดหลักนี้ ถ้าเราสามารถบรรลุข้อตกลงได้และไม่ทำให้สูญเสียอธิปไตย ปกป้องศักดิ์ศรีของไทยโดยไม่ต้องใช้กำลังทางทหาร น่าจะดีที่สุด และข้อตกลงที่มาด้วยการเจรจาทางการทูตน่าจะมีความยั่งยืนที่สุด อย่างไรก็ตาม
รมว.ต่างประเทศ กล่าวอีกว่า ไทยยืนยันที่จะคุยในกรอบทวิภาคีมาตลอด ขณะที่กัมพูชาต้องการไปศาลโลก แต่ในระยะหลัง ท่าทีของกัมพูชาเปลี่ยนไป โดยหันมาเน้นการเจรจาระดับทวิภาคี ซึ่งอาจเป็นผลจากการที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาท รวมถึงมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน อย่างไรก็ตาม ไทยยืนยันตาม 4 ข้อตกลงที่เสนอไป โดยจะมีการเสนอให้มีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนมาติดตามโดยสมัครใจ
นายสีหศักดิ์ เปิดเผยด้วยว่า การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ให้ความสำคัญกับสถานการณ์ในเมียนมา เพราะน่าเป็นห่วง ผ่านมา 4 ปีแล้ว ความรุนแรงมีต่อเนื่อง แต่ปีนี้ ฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมาประกาศจะจัดการเลือกตั้งในสิ้นปี ซึ่งยอมรับว่า การเลือกตั้งไม่สามารถจัดได้ในทุกพื้นที่ แต่จะจัดในพื้นที่ของเมียนมา
‘เราเป็นห่วงสถานการณ์เมียนมา ทุกฝ่ายต้องแก้ไขกันเองเพราะเป็นประเทศเขา แต่เราต้องการเห็นสันติภาพที่ยั่งยืน ต้องเดินหน้าประชาธิปไตย ชนกลุ่มน้อยจะมีอนาคตยังไงในเมียนมา ประเด็นเหล่านี้ต้องคุยให้จบ ให้มีความเข้าใจตรงกัน การเลือกตั้งไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพราะต้องมีการพูดคุยที่เปิดกว้างทุกฝ่าย ในเมื่อเขาจัดการเลือกตั้ง เราคงไปห้ามเขาไม่ได้ แต่ต้องแสดงความกังวลความห่วงใยว่า การเลือกตั้งต้องมีการพูดคุยที่เปิดกว้าง ความน่าเชื่อถือก็ส่วนหนึ่ง แต่ไม่นำไปสู่สันติภาพ ไทยจึงหวังว่าเขาไม่หยุดแค่จัดเลือกตั้ง แต่หวังให้เกิดความคืบหน้าของกระบวนการสันติภาพ หลังเลือกตั้งเขาอาจจะมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นท่าทีของไทย”
นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนท่าทีของอาเซียน ก็ต้องมีท่าทีตรงกัน เรื่องเลือกตั้งเพราะกำลังจะมีขึ้น และที่ผ่านมา การทูตอาเซียนในเรื่องเมียนมา ภายใต้ฉันทามติ 5 ข้อเรามอบให้ผู้แทนพิเศษของอาเซียน แต่เปลี่ยนทุกปี ทำให้ภารกิจขาดความต่อเนื่อง ไทยจึงเสนอเป็นท่าทีมาตลอดว่า ผู้แทนพิเศษต้องมากกว่า 1 ปี อาจเป็น 3 ปี และต้องคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นผู้แทนพิเศษที่ดี ต้องได้รับการยอมรับในอาเซียน ไม่ใช่แค่มารายงานสถานการณ์ แต่ต้องมาด้วยข้อเสนอแนะด้วย และต้องปรับยุทธศาสตร์ ฉันทามติ 5 ข้อ ถ้าได้คนที่เป็นยอมรับในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศและคุ้นเคยกับเมียนมา และติดต่อโดยตรงกับผู้ตัดสินใจในเมียนมาอย่าง พล.อ.อาวุโส มินอ่อง หล่าย ได้ ก็เป็นเรื่องดี
“ฉันทามติ 5 ข้อ ทั้งการลดความรุนแรง การพูดคุยระหว่างทุกฝ่าย การให้ความช่วยเหลือ ทำอย่างไรให้เกิดการปฏิบัติ การช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ในฉันทามติ 5 ข้อจะเริ่มปฏิบัติแล้ว น่าจะเป็นประเด็นที่คุยกันได้ รัฐบาลทหาร ชนกลุ่มน้อยต้องคุยกันต่อให้ได้ สำหรับไทยเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นตามแนวชายแดนไทย เพราะได้รับผลกระทบมากที่สุด อาเซียนบางประเทศอาจไม่กระทบ และเขาคาดหวังว่าไทยต้องแสดงบทบาทนำ เราต้องกลับมานั่งดูในส่วนของประเทศไทย ให้เป็นระบบมากขึ้น และไทยทำอะไรในกรอบของอาเซียน อย่างที่ผ่านมา ไทยได้ริเริ่มการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม Humanitarian Corridor และการดำเนินการทางการทูตของอาเซียนคืบหน้า ทำยังไงให้ประเทศเพื่อนบ้านตามชายแดนเมียนมาต้องร่วมมือกัน มีท่าทีช่วยไปสู่การสร้างสันติภาพ” นายสีหศักดิ์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น