ขแมร์ไทม์สและเดอะ พนมเปญโพสต์รายงานว่าเคซี่ย์ บาร์เน็ตต์ ประธานหอการค้าอเมริกันประจำกรุงพนมเปญได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (พฤหัสที่ 18 ธค.) ระบุว่า
“ในปี 2484 ไทยได้รุกรานกัมพูชา และต่อมาได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
ในปี 2568 ไทยกล่าวหาทหารกัมพูชาว่ายิงข้ามพรมแดนเข้ามาก่อน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานกัมพูชาอีกครั้ง เหมือนที่เคยใช้เป็นข้ออ้างในปี 2484 โดยมีเป้าหมายเพื่อหวังผนวกดินแดนกัมพูชา”
บาร์เน็ตต์กล่าวต่อว่า “แม้จะรู้ดีถึงพฤติกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของญี่ปุ่นในจีน รวมถึงการสังหารหมู่หนานจิงในปี 2480 แต่ไทยก็ยังลงนามในสนธิสัญญากับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2483 ซึ่งช่วยเบิกทางให้ญี่ปุ่นเข้ายึดครองอินโดจีนของฝรั่งเศสและคาบสมุทรมาลายาของอังกฤษในเวลาต่อมา ส่วนไทยก็รุกรานกัมพูชาและลาวในเดือนมกราคม 2484 โดยอ้างว่ากองกำลังอาณานิคมฝรั่งเศสในกัมพูชาได้ยิงข้ามพรมแดนเข้ามาที่อรัญประเทศของไทย แต่ในความเป็นจริง ไทยเตรียมแผนล่วงหน้ามาหลายเดือนแล้ว ซึ่งภายในไม่กี่สัปดาห์ ไทยได้ผนวกจังหวัดทางเหนือของกัมพูชาและดินแดนทางตะวันตกของลาว”
ประธานหอการค้าอเมริกันยังอ้างต่อว่าธันวาคม 2484 ไทยและญี่ปุ่นได้ทำข้อตกลงสนับสนุนด้านการทหารระหว่างกัน โดยญี่ปุ่นสนับสนุนไทยในการอ้างสิทธิ์ผนวกดินแดนบางส่วนของกัมพูชา ลาว มาลายา และพม่า ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และฐานปฏิบัติการสำหรับการยึดครองมาลายาและพม่าของญี่ปุ่น
ต่อมาในปี 2486 ญี่ปุ่นตอบแทนด้วยการโอน 6 จังหวัดในคาบสมุทรมาลายาและพม่าของอังกฤษให้แก่ไทย นอกจากนี้ไทยยังอำนวยความสะดวกให้ญี่ปุ่นในการบังคับใช้แรงงานสร้างทางรถไฟสายมรณะ เพื่อเชื่อมต่อกรุงเทพไปถึงย่างกุ้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
และหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ไทยถูกบังคับให้สละดินแดนทั้งหมดที่ยึดมาคืนให้กัมพูชา, ลาว, มาลายาและพม่า ซึ่งอังกฤษต้องการใช้มาตรการลงโทษที่รุนแรงกับไทยรวมทั้งยึดคอคอดกระและพื้นทีอื่นๆ แต่สหรัฐคัดค้านเพราะเกรงจะส่งผลกระทบด้านเสถียรภาพของไทยและทั้งภูมิภาค
บาร์เน็ตต์ชี้ว่า “มาถึงปี 2568 ความทรงจำจากผลลัพท์ของความทะเยอทะยานในการอยากได้ดินแดนคนอื่นแทบไม่เหลือแล้ว และไทยกำลังกลับมารุกรานกัมพูชาอีกครั้ง”

