เดอะ เคียฟ อินดิเพนเดนท์เผยรายงานวันที่ 20 ตุลาคม ระบุว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียได้มีความพยายามที่จะหลอกล่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐให้กดดันประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี้ยกภูมิภาคดอนบาสให้กับรัสเซียอีกครั้ง หลังจากที่เคยมีความพยายามเข้ายึดครองเมื่อ 9 ปีที่แล้วแต่ล้มเหลว อย่างไรก็ตามการปฏิบัติการสู้รบในครั้งนั้นซึ่งเกิดขึ้นในปี 2557 ยูเครนได้เสียแคว้นไครเมียให้กับรัสเซีย
รายงานเผยว่าการพบปะกันครั้งล่าสุดทรัมป์ได้เรียกร้องเซเลนสกี้ให้ยกดอนบาสทั้งภูมิภาคให้กับปูติน รวมทั้งดินแดนที่ยังอยู่ความควบคุมของยูเครน
เราจะมาทำความรู้จักดอนบาสกันว่าทำไมจึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของปูติน ท่ามกลางความพยายามสารพัดวิธีที่จะหาทางควบรวมมาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียให้ได้
ดอนบาสเป็นดินแดนประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของยูเครน “ดอนบาส” เป็นตัวย่อมีชื่อเต็มคือ” แอ่งถ่านหินโดเน็ตส์ ตั้งชื่อตามแม่น้ำซิเวอร์สกี โดเน็ตส์ที่ไหลผ่านดอนบาส ซึ่งในยุคศตวรรษที่ 19 ภูมิภาคดอนบาสไม่ได้หมายถึงแค่แคว้นโดเน็ตสก์และลูฮานซก์เหมือนปัจจุบ้น แต่ยังรวมถึงบางส่วนของแคว้นดนีโปรเปตรอฟสค์ และพื้นที่่บางส่วนที่อยู่ทางใต้ของรัสเซีย
ดอนบาสขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและเหมืองแร่ นอกจากนี้ก็ยังอุดมและล้อมรอบไปด้วยพื้นที่เกษตรกรรม โดเน็ตสก์และลูฮานซก์จึงเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของยูเครนมาอย่างยาวนาน
ในช่วงปี 2557 ที่รัสเซียเคลื่อนทัพเข้าควบรวมไครเมียและพยายามยึดครองดอนบาส รัสเซียปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีดอนบาส แต่กล่าวหาว่าเป็นฝีมือของ “กลุ่มแบ่งแยกดินแดน” ภายในยูเครนเองที่ต้องการแยกดอนบาสออกจากยูเครน แต่แท้จริงแล้ว ไม่มีกลุ่มแบ่งแยกดินแดนใดๆทั้งสิ้น โดยรัสเซียอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ทั้งเป็นผู้สนับสนุนด้านอาวุธและเงินทุน เพื่อหวังทำลายเสถียรภาพของยูเครน
จากข้อมูลของศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และธุรกิจในลอนดอน ดอนบาสสร้างรายได้คิดเป็นประมาณ 15.7% ของ GDP ของยูเครน และมีจำนวนประชากรราว 14.7% ของประชากรทั้งหมดของยูเครน โดยทั้งหมดเป็นตัวเลขก่อนปี 2557 แต่สงครามรัสเซียได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ทำให้ธุรกิจ, อุตสาหกรรมและการดำเนินงานของบริษัทต่างๆ ตลอดจนการส่งออกและการลงทุนของต่างชาติต้องหยุดชะงักลงเกือบทั้งหมด ขณะที่ประชาชนก็อพยพหนีตายไปอยู่ที่อื่น
หนึ่งในข้ออ้างของรัสเซียในการควบรวมดอนบาสคือดอนบาสเป็นของรัสเซีย เพราะประชาชนพูดภาษารัสเซีย แต่ในความเป็นจริง ภาษาเป็นคนละเรื่องกับสัญชาติและดินแดน และก่อนปี 2557 ประชาชนส่วนใหญ่ในโดเน็ตสก์และลูฮานซก์เรียกตัวเองว่าเป็น “ชาวยูเครน” ขณะที่โพลชี้ว่าประชากรส่วนใหญ่ในดอนบาสต้องการเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน
ขณะที่อีกปัจจัยสำคัญนอกจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ปูตินอยากได้ดอนบาสก์คือปัจจัยด้านการทหาร
ปัจจุบันลูฮานซก์อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียเกือบทั้งหมด ขณะที่กองกำลังยูเครนยังคงยึดครองหลายพื้นที่ของโดเน็ตสก์ รวมทั้งเมืองสำคัญๆอย่างโปครอฟสค์ สโลเวียนสค์ และครามาทอร์สค์ แต่เป้าหมายหลักของปูตินคือการยึดครองพื้นที่ทั้งหมดของโดเน็ตสก์ ซึ่ง The Economist เผยว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะโดเน็ตสก์เป็นที่ตั้งของ “แนวป้อมปราการ” ที่ลากยาวครอบคลุมพื้นที่ 50 กิโลเมตรตั้งแต่เมืองสโลเวียนสค์และครามาทอร์สค์ไปจนถึงดรูชกิฟกาและโคสเตียนตีนิฟกา
โดยเครือข่ายป้อมปราการซึ่งประกอบด้วยสนามเพลาะ, ทุ่นระเบิดและกำแพงป้องกันรถถังได้มีการเสริมกำลังมาตั้งแต่ปี 2557 และหลังจากที่เมืองบัคห์มุตถูกเข้ายึดในปี 2566 ยูเครนก็สั่งเสริมกำลังแนวป้องกันนี้ให้แข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัว
อันตรี ซาโกรอดนุก อดีตรัฐมนตรีกลาโหมยูเครนบอกกับ The Economist ว่างบประมาณมหาศาลได้ถูกทุ่มเทเพื่อสร้างแนวป้องกันเหล่านี้ ทำให้สโลเวียนสค์และครามาทอร์สค์กลายเป็น “เมืองแห่งป้อมปราการ” ซึ่งเป็นทั้งศูนย์กลางโลจิสติกส์และศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่เป็นต้องการของปูติน ดังนั้นสำหรับยูเครนแล้ว ความคิดและเสียงเรียกร้องของทรัมป์ที่ขอให้เซเลนสกี้ยกดอนบาสทั้งหมดให้ปูตินจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้